3 สนามฟุตบอลสุดสวย…คอบอลไม่ควรพลาด

3 สนามฟุตบอลสุดสวย…คอบอลไม่ควรพลาด

เมื่อเอ่ยถึงความฝันของคนที่ชอบดูฟุตบอล ร้อยทั้งร้อยก็คงหนีไม่พ้นการหาโอกาสไปเยือนสนามฟุตบอลสวย ๆ ในโลกใบนี้ ด้วยเทคโนโลยีของการก่อสร้างที่ก้าวไกลก็ได้ทำให้สนามฟุตบอลในปัจจุบันมีหลายที่ซึ่งมีความสวย น่าหาโอกาสไปชมให้ได้ แต่จะมีสนามฟุตบอลของประเทศใดบ้าง อยากรู้ต้องตามมาดูกัน

1.สนาม แฮสตินส์โวลเลอร์ ประเทศไอซ์แลนด์

เอ่ยชื่อสนามแห่งนี้มาหลายคนคงไม่คุ้นหูสักเท่าไรนัก แต่ต้องบอกเลยว่าไอซ์แลนด์มีสนามฟุตบอลที่โดดเด่นและน่าไปเที่ยวอย่างยิ่ง หากคุณมองไปที่ฉากหลังของสนามฟุตบอลแห่งนี้ จะมองเห็นอดีตภูเขาไฟที่สวยงาม เคยมีลาวาไหลกรุ่นอยู่ที่ปากปล่อง แต่ปัจจุบันเป็นภูเขาไฟที่หมดพลังไปแล้ว โดยแฮสตินส์โวลเลอร์ นับเป็นสนามที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน เพราะว่าสร้างมานับแต่ปี 1912 และมีการปรับปรุงใหม่ถึงสองครั้ง ได้แก่ในปี 1960 และปี 2012 สนามแฮสตินส์โวลเลอร์ตั้งอยู่ในเมืองเวสมันแนนยาร์ รอบสนามจะไม่ได้มีพื้นที่หลังคาปิดบังสักเท่าไร ที่พิเศษมากไปกว่านั้นก็คือ หากใครที่ไม่อยากซื้อตั๋วเข้าไปดูการแข่งขันในสนามก็สามารถชมเกมการแข่งขันจุดโขดหินบริเวณหลังสนาม ซึ่งก็สามารถสนุกกับเกมฟุตบอลได้ไม่แพ้กัน

2.Uzhniki Stadium, Moscow, Russia

ถ้าเอ่ยถึงสนามแห่งนี้ เชื่อเลยว่าหลายคนคงคุ้นหูกันดี Uzhniki Stadium เนื่องจากเป็นสนามฟุตบอลประจำชาติของประเทศรัสเซียนั่นเอง โดยมีความจุมากถึงเจ็ดหมื่นกว่าที่นั่ง และความตั้งใจแต่เดิมในการสร้างนี้ก็คือสร้างเพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 1980 โดยภายในสนามกีฬามีจุดเด่นหลายประการ ทั้งการตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสโก ทำให้อากาศโดยรอบดีมาก และหากมองไปฝั่งตรงข้าม จะมองเห็นจุดชมวิวประจำมอสโก โดยความน่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ เป็นสนาม 5 ดาว โดยมีการจัดนัดชิง ได้แก่ UEFA Cup นั่นเอง

3.Old Trafford, Manchester, England

สนามฟุตบอลที่ถือเป็นความใฝ่ฝันของนักดูบอลทั้งหลายคงหนีไม่พ้นสนามฟุตบอลโอลแทรฟฟอร์ด แห่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยมีความจุเจ็ดหมื่นกว่าที่นั่ง และมีสัญลักษณ์มากมายที่หลาย ๆ คนถือเป็นซิกเนเจอร์ประจำสนาม ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็ต้องถ่ายรูปคู่ด้วยให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผนังกระจกด้านนอก หลังคาโครงเหล็ก หรือนาฬิกาที่บอกเวลา 15.40 น. ซึ่งเป็นการไว้อาลัยต่อเหตุการณ์นักฟุตบอลเครื่องบินตกในปี 1958 นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้จัดการทีมในตำนาน ไม่ว่าจะเป็นเซอร์เอล็กซ์ เฟอร์กูสันและเซอร์แมตต์ บัสบี้ ด้วยความที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ ทำให้สนามแห่งนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยมากที่สุด และถือเป็นสนามฟุตบอลต้องห้ามพลาดหากมาเที่ยวอังกฤษ แม้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบฟุตบอลก็ตาม

และนี่ก็คือสนามฟุตบอลที่เราคัดมาแล้วว่าสวย เด็ด เหมาะสมกับแฟนบอลอย่างยิ่ง หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันในการไปเที่ยวสนามฟุตบอลสวย ๆ ระดับโลก อย่าพลาดเป็นอันขาด

เมื่ออดีตนักเตะสวมบทผู้จัดการทีม จะรุ่งหรือจะร่วง!

เมื่ออดีตนักเตะสวมบทผู้จัดการทีม จะรุ่งหรือจะร่วง!

หลายปีที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลายเป็นเวทีแสดงฝีมือของบรรดาผู้จัดการทีมชั้นแนวหน้าของโลกโดยเฉพาะทีมระดับท็อปล้วนเลือกใช้กุนซือที่มีตำแหน่งแชมป์เป็นเครื่องการันตีความสามารถทั้งนั้น แต่ปีนี้ “เชลซี” กลับเลือกใช้งาน แฟรงก์ แลมพาร์ด ในขณะที่ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ยังคงไว้วางใจในตัว โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นผู้จัดการทีมรุ่นใหม่ทั้งคู่ แถมมีสถานะพ่วงท้ายเหมือนกันคือ ตำนานนักเตะของสโมสร

แลมพาร์ด ถือเป็นนักเตะคนสำคัญของเชลซี โดยลงเล่นในเกมลีกติดต่อกันถึง 164 นัด เป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรด้วยจำนวน 211 ประตู และได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของเชลซีมากที่สุด 3 สมัย พาสิงโตน้ำเงินครามคว้า 13 แชมป์ตลอดระยะเวลา 13 ปีในถ้ำสิงห์ หลังแขวนสตั๊ดมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษเริ่มงานคุมทีม “ดาร์บี้ เคาน์ตี้” ในศึกแชมเปียนส์ชิพ โดยปีแรกก็สามารถพาทีมเกาะเขาเหล็กจบอันดับที่ 6 ได้โอกาสเตะเพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้น เสียดายที่นัดชิงไปพ่ายให้กับ “แอสตัน วิลล่า” ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมนี้เชลซีจึงไม่ลังเลที่จะดึงเขากลับมารับหน้าที่ที่ว่างอยู่

ส่วนโซลชา คือหนึ่งในนักเตะขวัญใจของเหล่าแฟนผี แม้จะไม่ใช่ศูนย์หน้าตัวหลักของทีม แต่ทุกครั้งที่ได้ลงสนามก็มักจะทำประตูสำคัญได้เสมอ โดยเฉพาะประตูชัยที่แคมป์นู จนส่งให้ปีศาจแดงคว้า 3 แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีส่วนร่วมกับ 11 แชมป์ตลอดระยะเวลา 11 ปีในโรงละครแห่งความฝัน กองหน้าชาวนอร์เวย์เริ่มต้นชีวิตหลังแขวนสตั๊ดด้วยการเป็นโค้ชกองหน้าปีศาจแดง ก่อนถูกดันให้เป็นผู้จัดการทีมสำรองในเวลาต่อมา เขาจะพาทีมสำรองคว้าแชมป์ในปี 2009/10 จนได้โอกาสรับงานผู้จัดการทีมชุดใหญ่กับ “โมลด์” ในทีมสุด โดยสามารถพาอดีตทีมสมัยเริ่มต้นอาชีพนักเตะคว้าแชมป์ลีกนอร์เวย์ 2 สมัยติด เมื่อโชโซ่มูรินโญ่ ถูกไล่ออก เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว ก่อนจะได้สัญญาถาวรจากทีมปีศาจแดงในที่สุด

ทั้งแลมพาร์ดและโซลชา ถูกปรามาสว่าจะเป็นผู้จัดการทีมคนแรกๆ ที่ถูกไล่ออกด้วยประสบการณ์ที่น้อยนิด แถมนักเตะที่ประสบความสำเร็จเมื่อผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมให้กับต้นสังกัดเดิมต้องย้อนไปสมัย บ๊อบ เพสลีย์ ซึ่งพาลิเวอร์พูล ครองความยิ่งใหญ่ทั้งเกาะอังกฤษและเจ้ายุโรปเมื่อ 30 กว่าปีก่อนโน้น โดยนักแตะชื่อดังหลายต่อหลายคนเอาชื่อเสียงไปทิ้งกับการคุมทีมเก่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น แกรม ซูเนสส์ นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทำสโมสรตกต่ำเมื่อเปลี่ยนมาคุมทีมข้างสนาม หรือแม้แต่อลัน เชียเรอร์ สุดยอดกองหน้าระดับตำนานพรีเมียร์ลีกที่พานิวคาสเซิลตกชั้นในที่สุด

ผู้จัดการทีมยุคปัจจุบันที่ประสบความสำเร็จในการคุมทีมเก่าต้องยกให้กับซีเนดีน ซีดาน, เป๊ป กวาร์ดิโอลา และดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ซึ่งล้วนแต่เป็นสโมสรประเทศสเปนทั้งสิ้น ต้องลุ้นว่าเร็วๆ นี้จะถึงคราวทีมจากอังกฤษบ้างหรือไม่ หรือทั้งคู่จะตามรอยรุ่นพี่ที่กระเด็นออกตำแหน่งไปก่อนเวลาอันควร

บททดสอบของ “มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์” เพื่อก้าวสู่กองหลังระดับโลก

บททดสอบของ “มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์” เพื่อก้าวสู่กองหลังระดับโลก

เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน เมื่อมัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ ต้องใช้เวลาอยู่บนม้านั่งสำรองตลอดทั้งเกม เพื่อดูเพื่อนร่วมทีมใหม่บุกเฉือนชนะปาร์ม่า 1-0 ประเดิมศึกกัลโช่ เซเรียอา ทั้งที่เมื่อฤดูกาลก่อนเขายังสวมปอกแขนกัปตันทีมนำอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมไล่ล่าแชมป์แทบทุกนัด เป็นกำลังสำคัญช่วยให้ต้นสังกัดเก่าคว้าดับเบิลแชมป์ในประเทศได้สำเร็จ และยังทะลุถึงรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย

                ฤดูกาลที่แล้ว เดอ ลิกต์ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งในลีกดัตช์และลีกยุโรป จนได้รับรางวัลส่วนตัวมากมาย ประเดิมด้วย “โกลเด้น บอย 2018” รางวัลที่มอบให้นักเตะดาวรุ่งแห่งปีของยุโรป นับเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองหลังคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ตามด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกดัตช์ และมีรายชื่อเป็นหนึ่งในทีมยอมเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รางวัลทั้งหมดส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่สุดในตลาดนักเตะรอบที่ผ่านมา

                อาแจ็กซ์รู้ดีว่าลีกดัตช์เล็กเกินไปแล้วสำหรับเดอ ลิกต์ สโมสรจึงเปิดรับทุกข้อเสนอสำหรับกัปตันอายุน้อยที่สุด บาร์เซโลน่า, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และบาเยิร์น มิวนิค พยายามอย่างหนักในการล่าลายเซ็นปราการหลังตัวกลางรายนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นยูเวนตุสที่ได้กองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไปครอบครองด้วยค่าตัว 75 ล้านยูโรบวกออฟชั่นเพิ่มเติมอีก 10.5 ล้านยูโร สมน้ำสมเนื้อกับดีกรีอนาคตกองหลังระดับโลก โดยการย้ายทีมครั้งนี้กองหลังวัย 20 ปียืนยันว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่เพราะชื่นชอบปรัชญาการทำทีมของเมาริซิโอ ซาร์รี่ต่างหาก แต่แล้วกุนซือชาวอีตาเลียนก็เลือกใช้บริการความเก๋าจากเลโอนาร์โด โบนุชชี่ และจอร์โจ้ คิเอลลินี่ ลงเล่นร่วมกันในนัดเปิดฤดูกาลซะอย่างนั้น

                โบนุชชี่ และคิเอลลินี่ ร่วมป้องกันประตูให้กับทีมม้าลายมาเกือบ 10 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งคู่หูปราการหลังตัวกลางชั้นนำของยุโรป จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เดอ ลิกต์จะสอดแทรกได้อย่างรวดเร็ว แม้จะผิดหวังกับการต้องตกอยู่ในสถานะตัวสำรองแต่อดีตกัปตันทีมอาแจ็กซ์ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นผ่านบทสัมภาษณ์

“โดยปกติแล้วผมอยากลงเล่น ผมทำได้ดีตอนซ้อม ดังนั้นผมจึงไม่คาดว่าจะตกเป็นตัวสำรอง แต่ผมก็เคารพการตัดสินใจของผู้จัดการทีม ผมยอมรับว่ายังต้องปรับตัวกับการเล่นในอิตาลี ผมจะพยายามทวงตำแหน่งของผมในปีนี้ ผมทำงานอย่างหนักในเรื่องเสริมสร้างร่างกาย ซึ่งสังเกตได้ว่าผมแข็งแกร่งขึ้น”

นักวิจารณ์หลายคนมองว่า เดอ ลิกต์ ตัดสินใจย้ายออกจากอาแจ็กซ์เร็วเกินไป ควรอยู่ลงเล่นในลีกดัตช์อย่างสม่ำเสมออีกสักปี ดีกว่าต้องใช้เวลาหมดไปบนซุ้มม้านั่งสำรองซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาฝีเท้า แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เมื่อนักเตะรุ่นพี่หลายคนที่ประสบความสำเร็จต่างแสวงหาความท้าทายเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองกันทั้งนั้น ดังภาษิตจีนที่ว่า “หากปลาคาร์ฟไม่ว่ายฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกราก จะกลายร่างเป็นมังกรได้อย่างไร”

“ชนาธิป” บทพิสูจน์ของผู้ไม่ยอมแพ้

“ชนาธิป” บทพิสูจน์ของผู้ไม่ยอมแพ้

เป็นอีกครั้งที่ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” สร้างชื่อให้ตัวเองและประเทศไทยในเวทีระดับโลก ด้วยการมีชื่อติดใน Team of the Week 43 ของ FIFA Ultimate Team เกมฟุตบอลชื่อดังจากค่าย EA Sports ที่มีผู้เล่นทั่วโลกนับล้านคน ถือเป็นนักเตะไทยคนแรกที่สามารถมายืนถึงจุดนี้ได้

การยอมรับในเวทีนานาชาติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก “คอนซาโดเล ซัปโปโร” บุกไปถล่ม “ชิมิสุ เอส-พัลส์” ถึงถิ่นด้วยสกอร์ 8 ประตูต่อ 0 โดยเมสซี่เจโชว์ฟอร์มร้อนแรง ยิงได้ถึง 2 ประตู แถมยังจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อีก 2 ครั้ง จนมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ในลีกสูงสุดของญี่ปุ่น

ชนาธิป ทำผลงานในลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของเอเชียได้อย่างยอดเยี่ยม นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมคอนซาโดเล ซัปโปโร ด้วยสัญญายืมตัวในช่วงกลางปี 2017 ถือเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าตัวได้ก้าวไปเป็นกำลังหลักในการพาทีมซัปโปโร จบฤดูกาล 2018 ด้วยอันดับที่ 4 สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์สโมสร โดยปีนั้นสตาร์ทีมชาติไทยได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมทีมจนคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรมาครองได้สำเร็จ ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการมีชื่อเป็นหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของเจลีก ถือเป็นนักเตะอาเซียนคนแรกที่สามารถทำได้

หลังจากถูกยืมตัวเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ชนาธิปก็ได้ร่วมทีมซัปโปโรด้วยสัญญาถาวรในปี 2019 แม้ผลงานโดยรวมของทีมจะไม่ดีเหมือนฤดูกาลก่อน แต่นักเตะทีมชาติไทยก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้คงเส้นคงวาที่สุด จนถึงนัดล่าสุดกับชิมิสุ เอส-พัลส์ ทีมที่เคยปฏิเสธเขาเมื่อครั้งเดินทางไปทดสอบฝีเท้าในปี 2013 ด้วยเหตุผลเรื่องส่วนสูงและสภาพร่างกาย

ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ชนาธิปเคยถูกปฏิเสธถึงสองครั้งสองคราในเรื่องเดียวกันคือรูปร่างที่เล็กเกินไป ไม่เหมาะกับการเล่นฟุตบอลอาชีพ โดยครั้งแรกเกิดกับสโมสรทีโอที แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะในเวลาต่อมาเจ้าหนูร่างเล็กก็ถูกเลือกเข้าทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง “บีอีซี เทโรศาสน” ก่อนจะพาทีมเยาวชน U-19 ของสโมสรคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ได้สำเร็จ แถมยังได้รับตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย จนได้รับโอกาสให้ลงเล่นกับทีมมังกรไฟชุดใหญ่อย่างเต็มตัวในฤดูกาลต่อมา

ชนาธิปถือเป็นไอดอลของคนเอเชียในเรื่องการไม่ยอมแพ้ต่อการถูกตัดสินจากคนอื่น โดยใช้ความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างหนักเพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพที่ถูกบดบังด้วยอคติ เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครฉุดเราให้ยอมแพ้ได้…นอกจากตัวเราเอง

มูลค่าที่หายไปตามกาลเวลาของ “อีวาน เปริซิช”

มูลค่าที่หายไปตามกาลเวลาของ “อีวาน เปริซิช”

ค่าตัวนักฟุตบอลในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจเมื่อเทียบกับในอดีต ทุกวันนี้นักเตะที่เริ่มฉายแววความสามารถก็ถูกตั้งราคาไว้ไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านยูโรแล้ว ซึ่งบ้างครั้งมูลค่าก็ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถที่แท้จริง เมื่อเทียบกับอดีตก็ไม่ใช่ว่านักเตะปัจจุบันจะมีความสามารถที่เหนือมากกว่า แต่เพราะสโมสรชั้นนำต่างต้องการความสำเร็จแบบเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องมองหานักเตะจากทีมอื่นเพื่อยกระดับทีมตัวเองให้ต่อกรกับคู่แข่งได้ แทนที่จะรอคอยการปลุกปั่นนักเตะเยาวชนเหมือนเดิม เมื่อความต้องการจากหลายสโมสรชั้นนำมีมากกว่าจำนวนนักเตะคุณภาพในตลาด ราคาที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปตามกลไกตลาดปกติ อย่างในกรณีที่เกิดขึ้นกับ “อีวาน เปริซิช”

 เปริซิส ถือเป็นนักเตะกำลังหลักของ “อินเตอร์ มิลาน” และทีมชาติโครเอเชีย โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพ เขาพาทีมตราหมากรุกเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้ทีมพลังหนุ่มอย่างทีมชาติฝรั่งเศสในที่สุด แม้จะเป็นแค่รองแชมป์ แต่กลับโชว์ฟอร์มตลอดทัวร์นาเมนต์ได้อย่างโดดเด่น เป็นดาวซัลโวของทีมด้วยผลงาน 3 ประตู จนได้รับการจับตามองจากสโมสรชั้นนำในยุโรปหลายทีม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเด็ด” ด้วยสไตล์การเล่นแบบปีกธรรมชาติที่ใช้ความเร็วลากเลื้อยและเปิดบอลเข้ากลาง แถมยังมีความขยันลงมาช่วยเกมรับอยู่เสมอ ซึ่งเป็นนักเตะที่ปีศาจแดงขาดแคลนมานานหลายปี ทำให้โชเซ่ มูรินโญ่ อยากได้ตัวอดีตลูกทีมคนนี้มาร่วมงานอีกหน ส่งผลให้ค่าตัวของเปริซิชในวัย 29 ปีพุ่งขึ้นไปถึง 60 ล้านยูโร แต่จนแล้วจนรอดดีลนี้ก็ไม่เกิดขึ้น มีกระแสว่าเปริซิชต้องการร่วมงานกับลูชาโน่ สปัลเล็ตติ กุนซือคนปัจจุบันมากกว่าอดีตเจ้านายอย่างมูรินโญ่ ด้วยเหตุผลทางฟุตบอลแล้วถือว่าเปริซิชตัดสินใจได้ดี เพราะเขาและเพื่อนร่วมทีมช่วยกันพาทีมงูใหญ่ครองอันดับ 4 คว้าตั๋วไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า ในขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงอันดับ 6 แถมมูรินโญ่ยังอยู่ไม่ครบฤดูกาลอีกด้วย และดูท่าผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลา จะชอบใช้งานดาวรุ่งมากกว่านักเตะอายุมากอย่างเขา

แต่แล้วชีวิตของเปริซิชก็มีอันต้องตัดสินใจอีกครั้ง เมื่ออันโตนิโอ คอนเต้ ถูกแต่งตั้งเป็นเจ้านายคนใหม่ กุนซือชาวอิตาลีมาพร้อมระบบการเล่น 3-5-2 ส่งผลให้เปริซิชต้องเปลี่ยนไปเล่นกองหน้าที่ไม่ใช่ตำแหน่งถนัดจึงทำผลงานได้ไม่ดี แถมนายใหม่ยังลงทุนก้อนโตไปกับนักเตะคนโปรดอย่าง โรเมลู ลูกากู มาเป็นคู่แข่งแย่งตำแหน่งโดยตรงเสียอีก จนท้ายที่สุดแล้วเขาจึงตัดสินย้ายไปร่วมทีม “บาเยิร์น มิวนิค” ด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาลพร้อมออฟชั่นซื้อขาดในราคาเพียง 20 ล้านยูโร มูลค่าต่ำกว่าปีที่แล้วถึง 40 ล้านยูโร!

กลไกตลาดยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เสมอ เมื่อเจ้าของไม่มีความต้องการในสินค้าตัวนั้นแล้ว ย่อมมองว่าสินค้าตัวนั้นเป็นของมือสองและพร้อมระบายสินค้าออกเมื่อได้มูลค่าที่พอใจแม้จะต่ำกว่าเดิม

ในทางธุรกิจอินเตอร์ มิลาน คงไม่รู้สึกเสียหายกับมูลค่าที่หายไป เพราะการดึงให้เปริซิชไว้กับทีมในฤดูกาลก่อน ส่งผลให้ทีมได้โอกาสลงเล่นในศึกแชมเปียนส์ลีก ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ทีมอย่างมหาศาล ส่วนในมุมของเปริซิชเอง การได้ร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิคย่อมการันตีตำแหน่งแชมป์ที่ห่างหายไปนานให้กับเขา แม้จะไม่ได้เป็นนักเตะคนสำคัญในทีมใหม่ก็ตาม ถือเป็นการจากกันแบบ วิน-วิน เลยทีเดียว

อีกหนึ่งรางวัลสำหรับ “เอริค คันโตน่า” ราชาแห่งปีศาจแดงทั้งมวล

อีกหนึ่งรางวัลสำหรับ “เอริค คันโตน่า” ราชาแห่งปีศาจแดงทั้งมวล

เอริค คันโตน่า ศิลปินลูกหนังแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกเลือกให้เป็นผู้รับรางวัล “ยูฟ่า เพรสซิเดนท์ อวอร์ด” ประจำปี 2019 ซึ่งเป็นรางวัลที่สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) มอบให้กับอดีตนักฟุตบอลที่มีความโดดเด่น ประสบความสำเร็จในชีวิตค้าแข้ง มีความเป็นมืออาชีพและเป็นแบบอย่างที่ดี ถือเป็นนักเตะปีศาจแดงคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลนี้ ต่อจากบ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ เดวิด เบ็คแฮม เจ้าของรางวัลคนล่าสุด โดยจะมอบรางวัลในงานจับสลากแชมเปี้ยนส์ลีกรอบคัดเลือกที่จะถึงนี้

คันโตน่า ย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมปีศาจแดงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 1992 ด้วยค่าตัว 1.2 ล้านปอนด์ ในเวลานั้นปีศาจแดงรั้งอันดับที่ 8 ของตารางคะแนน แต่เพียง 6 เดือนศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศสก็พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จด้วยคะแนนทิ้งห่างแอสตัน วิลล่าถึง 10 คะแนน สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานถึง 26 ปี ซึ่งการคว้าแชมป์ครั้งนี้ทำให้คันโตน่าเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศกับสองสโมสร โดยปีก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งพาลีดส์ ยูไนเต็ดเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ซึ่งถือเป็นลีกสูงสุดในขณะนั้น

ในปีต่อมาเป็นฤดูกาลแรกที่พรีเมียร์ลีกกำหนดให้นักเตะแต่ละคนมีหมายเลขเสื้อประจำตัว คันโตน่าเลือกใส่หมายเลข 7 นำแมนฯ ยูไนเต็ดป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ก่อนจะเป็นคนสังหาร 2 จุดโทษช่วยให้ทีมปีศาจแดงเอาชนะเชลซีด้วยสกอร์ 4-0 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ปิดฉากฤดูกาลด้วยดับเบิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศสสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นดาวซัลโวของทีมด้วยผลงาน 25 ประตู และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 1993-94 น่าเสียดายที่ฤดูกาลถัดมาเหตุการณ์ “กังฟูคิก” ส่งผลให้เขาถูกแบนถึง 8 เดือน หมดสิทธิช่วยทีมตลอดฤดูกาลที่เหลือ จนปีศาจแดงจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า

หลังจากพ้นโทษแบนกลับมา ซึ่งตรงกับศึกแดงเดือด คันโตน่าก็แผลงฤทธิ์ทันทีเมื่อเป็นคนจ่ายบอลให้นิกกี้ บัตต์ยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม ก่อนจะมายิงจุดโทษช่วยชีวิตปีศาจแดงให้เสมอคู่อริ  2-2 ในบ้านตัวเอง ศูนย์หน้ากัปตันทีมยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนทวงแชมป์พรีเมียร์ลีกกลับมาได้สำเร็จ ก่อนจะเป็นผู้ยิงประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพกับลิเวอร์พูล ช่วยให้ปีศาจแดงคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกครั้ง ถือเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ 2 สมัย

ในปี 1996-97 หลังนำลูกทีมรับถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 คันโตน่าก็ช็อกแฟนผีทั่วโลกด้วยการประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 30 ปี ปิดฉาก 5 ปีอันยิ่งใหญ่ในโรงละครแห่งความฝันด้วยผลงาน 82 ประตู 9 แชมป์ ได้รับสมญานามจากแฟนปีศาจแดงว่า “เดอะ คิง” และได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

                อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานยูฟ่า กล่าวถึงคันโตน่าหลังจากถูกเลือกให้รับรางวัลเพรสซิเดนท์ อวอร์ดนี้

                “รางวัลนี้ไม่ได้มอบให้เพื่อยกย่องความสำเร็จตลอดเส้นทางอาชีพของเขาเท่านั้น แต่ยังมอบเพื่อเป็นเกียรติในสิ่งที่เขาเป็น ชายผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้กับสิ่งใด, ชายผู้ยืนหยัดเพื่อคุณค่าของตัวเอง, ชายผู้พูดอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เขาเชื่อมั่น” ซึ่งนั้นคือตัวตนทั้งหมดของเขา…เอริค เดอะ คิง

“การเหยียดผิว” มะเร็งร้ายแห่งวงการฟุตบอล

“การเหยียดผิว” มะเร็งร้ายแห่งวงการฟุตบอล

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่ทนต่อการเหยียดผิวไม่ว่าในรูปแบบใด และขอยืนหยัดต่อต้านมันผ่านทางแคมเปญ #AllRedAllEqual เราจะทำทุกทางเพื่อระบุตัวคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และจะหาบทลงโทษรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการสื่อออนไลน์เพื่อให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ด้วย”

นี่คือแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อกรณีที่ “พอล ป็อกบา” ถูกเหยียดผิวอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ อันสืบเนื่องมาจากผลเสมอในเกมกับ “วูล์ฟแฮมป์ตัน” ทั้งที่มีโอกาสเป็นผู้ชนะจากการยิงจุดโทษ แต่มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสกลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูชัยได้ ส่งผลให้ปีศาจแดงเก็บได้เพียงแต้มเดียว พลาดขึ้นไปครองบัลลังก์จ่าฝูงบนตารางพรีเมียร์ลีก

เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงท้ายเกม ขณะที่ทั้งสองทีมเสมอกันอยู่นั้น ป็อกบาตัดสินใจพาบอลเข้าไปในเขตโทษก่อนถูกสกัดล้มลง กรรมการไม่ลังเลที่จะเป่าเป็นจุดโทษทันที ในนาทีนั้นทุกคนหมายมั่นว่า “มาร์คัส แรชฟอร์ด” จะต้องรับหน้าที่เพชฌฆาตอีกครั้ง หลังศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติในนัดที่แล้วกับเชลซี แต่กลับเป็นป็อกบาที่คว้าบอลไปตั้งในกรอบ 18 หลา ก่อนจะยิงไปตรงตัวผู้รักษาประตูเจ้าบ้าน ชนิดที่คาใจแฟนบอลปีศาจแดงทั่วโลก

หลังพลาดจุดโทษ สีหน้าของป็อกบาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาเดินไปขอโทษแฟนบอลในสนามอย่างจริงใจเมื่อการแข่งขันจบลง แม้หลังเกม “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” จะให้สัมภาษณ์ว่าวางทั้งแรชฟอร์ดและป็อกบาเป็นผู้ยิงจุดโทษ โดยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองตามสถานการณ์ แต่ป็อกบาก็หนีไม่พ้นคำตำหนิทั้งจากบรรดากูรูและอดีตนักเตะปีศาจแดง โดยเฉพาะเหล่าแฟนบอลในคราบนักเลงคีย์บอร์ด

แฟนบอลในโลกโซเชียลพากันวิจารณ์อย่างหนักที่ป็อกบาเข้าไปขอเป็นคนยิงลูกโทษเองจากแรชฟอร์ด จากวิจารณ์ฟอร์มในสนาม ลามไปถึงเรื่องการตัดผม จนกระทั้งกลายเป็นการเหยียดหยามชาติพันธุ์ในที่สุด

การเหยียดผิวถือเป็นมะเร็งร้ายที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลมาช้านาน แม้จะมีการรณรงค์อย่างจริงจังจากภาครัฐและสโมสรฟุตบอล แต่จากรายงานของ “Kick It Out” องค์กรการกุศลเพื่อต่อต้านการเหยียดผิว ระบุว่าในปัจจุบันการเหยียดผิวมีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างคึกคะนอง มีการเปิดบัญชีจำนวนมากไว้เพื่อการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงอย่างเปิดเผยโดยไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ

ล่าสุดทางทวิตเตอร์ได้ตอบรับเข้าร่วมหารือกับทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และองค์กร Kick It Out เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยทวิตเตอร์ยืนยันว่าจะทำมากกว่าการปกป้อง และจะทำให้พฤติกรรมการเหยียดผิวไม่มีที่ยืนในสังคมทวิตเตอร์

ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ทุกคนล้วนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ดังนั้นเราจึงควรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และการหยิบยกเอารูปลักษณ์หรือเชื้อชาติที่แตกต่างของบุคคลอื่นมาล้อเลียนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หาใช่สิ่งที่ผู้มีความเจริญทางปัญญาพึงกระทำ

นักเตะใหม่ที่น่าจับตามองในเวทีพรีเมียร์ลีก 2019/20

นักเตะใหม่ที่น่าจับตามองในเวทีพรีเมียร์ลีก 2019/20

พรีเมียร์ลีก 2019/20 เป็นปีแรกที่มีการกำหนดให้แต่ละสโมสรต้องลงทะเบียนนักเตะให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 สิงหาคม ก่อนเปิดฤดูกาลนัดแรก แทนที่จะเป็นสิ้นเดือนสิงหาคมอย่างทุกปี แม้ปีนี้ตลาดซื้อ-ขายนักเตะพรีเมียร์ลีกจะไม่คึกคักเหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมตบเท้าเข้าสู่ลีกอังกฤษอย่างไม่ขาดสาย ลองไปดูกันว่า 5 นักเตะหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมีใครบ้าง?

นิโคลัส เปเป้ : อาร์เซนอล ค่าตัว 72 ล้านปอนด์

                ถือเป็นดีลสุดเซอร์ไพรส์ประจำตลาดซื้อขายรอบนี้เมื่อ “อาร์เซนอล” คว้าศูนย์หน้าทีมชาติโกตดิวัวร์มาร่วมทีมด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสรถึง 72 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่น่าแปลกหากดูจากผลงานเมื่อปีก่อนที่ทำไว้ 23 ประตู 12 แอสซิสช่วยให้ “ลีลล์” ครองอันดับรองแชมป์ลีกเอิง โดยคาดว่าเมื่อได้ลงเล่นร่วมกับอเล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ และปิแอร์‑เอเมอริค โอบาเมยอง อาจเกิดเป็นสามประสานสุดอันตรายก๊วนใหม่ก็เป็นได้

คริสเตียน พูลิซิช : เชลซี ค่าตัว 58 ล้านปอนด์

                การย้ายออกไปของเอเดน อาซาร์ ที่แบกทีมมาตลอดหลายปี สร้างช่องว่างมหาศาลให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม แถมยังต้องถูกแบนจากตลาดนักเตะรอบนี้อีก ทำให้แนวรุกทีมชาติสหรัฐต้องกลายมาเป็นกำลังของทีมในทันที เจ้าหนูวัย 20 ปีเป็นนักเตะที่มีความเร็วและ การผ่านบอลที่แม่นยำ แถมยังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะต่างชาติอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในศึกบุนเดสลีกา จึงไม่แปลกหากจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับซุปเปอร์สตาร์ชาวเบลเยี่ยมที่จากไป

ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ : ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ค่าตัว 53.7 ล้านปอนด์

                ไก่เดือยทองลงทุนทำลายสถิติสโมสรอีกครั้งเพื่อคว้าตัวกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสมาร่วมทีม มิดฟิลด์วัย 22 ปีโดนเด่นในเรื่องเกมรับ แถมยังเปี่ยมไปด้วยเทคนิคและพลังขับเคลื่อนในเกมรุก ต่างจากนักเตะหลายคนในทีมที่อาจคุมเกมรับได้ดี แต่ไม่อาจทำผลงานในการบุกให้ดีได้ ถือเป็นการยกระดับแผงมิดฟิลด์ให้ทีมเมืองหลวงพร้อมสำหรับการลุ้นแชมป์เต็มตัว

โรดรี้ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่าตัว 70 ล้านยูโร

                มิดฟิลด์ทีมชาติสเปน เป็นนักเตะที่สุขุมเยือกเย็น มีร่างกายที่แข็งแกร่ง ผ่านบอลได้อย่างแม่นยำ ครองบอลเหนียวแน่น สามารถเอาตัวรอดจากการกดดันของคู่แข่งได้ดี จนถูกยกย่องไปเทียบเคียงกับเซอร์คิโอ บุสเก็ตส์ จึงไม่แปลกที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะคว้ามาเป็นตัวตายตัวแทนของแฟร์นานดินโญ่ ที่เริ่มโรยรา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นสำหรับการป้องกันแชมป์

ดาเนียล เจมส์ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 15 ล้านปอนด์

                ปีกทีมชาติเวลส์เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง โดยทำสถิติวิ่งไว้ที่ 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ่อยครั้งจึงมักจะได้เห็นเจ้าหนูวัย 21 ปีใช้สปีดกระชากหนีแนวรับคู่ต่อสู้เป็นว่าเล่น และด้วยการเป็นนักเตะที่ถนัดทั้งสองเท้ายังช่วยให้เล่นเป็นตัวรุกริมเส้นได้ทั้งสองฝั่ง ถือเป็นอาวุธสำคัญในการเล่นเกมโต้กลับเร็วของทีมปีศาจแดง รวมไปถึงจังหวะกระชากหลบกองหลังเข้าไปทำประตูหรือสร้างสรรค์โอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีม

VAR เทคโนโลยีผู้ผดุงความยุติธรรม

VAR เทคโนโลยีผู้ผดุงความยุติธรรม

พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 รูดม่านเปิดฉากไปเรียบร้อยแล้ว แม้ปีนี้บรรดาทีมใหญ่จะพร้อมใจกันงดนำเข้านักเตะชื่อดังให้แฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนหลายฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ความพิเศษของฤดูกาลนี้กลับอยู่ที่กฎกติกาใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะการนำ “วิดีโอช่วยตัดสิน” มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของผู้ตัดสิน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลโดยตรงต่อความสนุกในการลุ้นแชมป์ปีนี้แน่นอน

แม้จะตามหลังลีกอื่นมาหลายปี แต่ปีนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่พรีเมียร์ลีกได้นำเอาวิดีโอช่วยตัดสิน หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า VAR มาใช้เสียที หลายคนกังวลถึงความไม่ต่อเนื่องในเกม เอะอะก็ขอดู VAR อย่างเดียว หรือไม่ก็ใช้เวลานานกว่าจะสรุปคำตัดสินได้ จนทำให้รูปเกมในสนามหมดความสนุกไป แต่ในสถานการณ์จริงหาได้เป็นเช่นนั้น

ปัจจุบันผู้ตัดสินใช้เวลาไม่นานในการปรึกษากับผู้ช่วยในห้องวิดีโอผ่านชุดหูฟัง โดยไม่ต้องวิ่งไปดูวิดีโอข้ามสนามเองเหมือนเมื่อศึกบอลโลก ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะได้คำตัดสิน และแม้จะบันทึกภาพการแข่งขันไว้ตลอดทั้งเกม ผู้ตัดสินก็สามารถเรียกใช้งาน VAR ได้เมื่อมีข้อสงสัยใน 4 กรณีเท่านั้น คือ จังหวะการทำประตู, โอกาสเป็นจุดโทษ, ใบแดงโดยตรง และความเข้าใจผิดในคำตัดสิน

การได้หรือไม่ได้ประตูจากจังหวะฟาล์ว แฮนด์บอล หรือล้ำหน้า ถือเป็นดราม่าที่อยู่คู่กับกีฬาฟุตบอลมายาวนาน หลายคนมองว่านี่คือเสน่ห์ในเกม แต่ไม่ใช่กับทีมที่เสียผลประโยชน์ หลายนัดแฟนบอลหน้าจอได้ประจักษ์ด้วยสายตาทันทีว่าการทำประตูเหล่านั้นสมควรเป็นประตูหรือไม่จากภาพช้าของการถ่ายทอดสด แต่ผู้ตัดสินซึ่งสมควรเป็นผู้รับชมภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากที่สุดกลับไม่มีโอกาสนั้น ทำให้หลายต่อหลายครั้งคำตัดสินจึงค้านกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี VAR จะช่วยให้ความจริงเหล่านั้นปรากฏในสนามทันที ดังเช่นที่ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ได้เจอมากับตัว

เพียงนัดแรก แมนฯ ซิตี้ ก็โดน VAR เล่นงานทันที เมื่อลูกยิงของ กาเบรียล เชซุส ถูกตัดสินว่ามีการล้ำหน้าจาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เป็นคนจ่ายบอลให้ทำประตู ก่อนที่จะมาได้ประโยชน์ถึง 2 หน ในจังหวะที่สเตอร์ลิ่งยิงประตูแล้วถูกสงสัยว่าเป็นการล้ำหน้า VAR ช่วยลบข้อสงสัยนั้นแม้จากภาพวิดีโอจะใกล้เคียงมากก็ตาม และอีกครั้งในการสังหารจุดโทษ เซย์คิโอ อเกวโร ยิงไปติดตัว ลูคัส ฟาเบียนสกี้ แต่ในจังหวะยิงเท้าของผู้รักษาประตูไม่ได้อยู่บนเส้น VAR ตัดสินให้ยิงทำการจุดโทษอีกครั้ง แล้วก็เป็น อเกวโร ที่ยิงแก้ตัวได้สำเร็จ

แต่แล้วในนัดต่อมาทีมเรือใบสีฟ้าก็กลายเป็นฝ่ายโดนเล่นงานอีกครั้ง คราวนี้เป็นเชซุสที่ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายทีมไก่เดือยทองในช่วงทดเวลาบาดเจ็บท้ายเกม เรียกเสียงเฮทั่วทั้งสนาม แต่สุดท้าย VAR ทำการริบประตูคืนเมื่อภาพแสดงให้เห็นว่า เอมเมอริค ลาปอร์ก ทำแฮนด์บอลในจังหวะก่อนหน้านั้น ซึ่งกฎกติกาใหม่ระบุว่าหากลูกบอลสัมผัสบริเวณมือหรือแขนของผู้เล่นฝ่ายรุก ให้ถือว่าเป็นการแฮนด์บอลไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แชมป์เก่าพลาด 2 แต้มสำคัญไปในที่สุด หากท้ายฤดูกาลแต้มที่หายไปเกิดมีผลต่อการป้องกันแชมป์ จังหวะนี้ต้องถูกยกมาพูดถึงอีกอย่างแน่นอน

ในวงการกีฬาโลก ภาพวิดีโอถูกนำมาช่วยให้การตัดสินเป็นไปด้วยความยุติธรรมนานแล้ว นี่จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่ยังต้องพัฒนาระบบ VAR ให้มีความเที่ยงตรงและรวดเร็วขึ้นไปอีก เพื่อไม่ให้เกิดกรณี “หัตถ์พระเจ้าของมาราโดน่า” ให้คาใจแฟนบอลผู้ดีอีกต่อไป และหวังว่าจะไม่มีใครออกมาต่อต้านการทำหน้าที่ของ VAR นับจากนี้ เหมือนที่ โชโซ่ มูรินโญ่ ได้กล่าวไว้ “VAR ก็เหมือนกล้องวงจรปิด มีแต่โจรเท่านั้นที่รังเกียจกล้องวงจรปิด”

ช่วงเวลาที่ยากลำบากของปีศาจแดง กับนักเตะตำแหน่งสำคัญที่ตามหา

ช่วงเวลาที่ยากลำบากของปีศาจแดง กับนักเตะตำแหน่งสำคัญที่ตามหา

การเสริมทีมด้วยนักเตะอย่าง ดาเนียล เจมส์, อารอน วาน-บิสซาก้า และแฮรี่ แม็กไกวร์ ถือเป็นการปิดจุดอ่อนที่ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เผชิญปัญหามาหลายปี แถมสโมสรยังสามารถรั้งตัวพอล ป็อกบา นักเตะผู้มีผลงานดีที่สุดจากปีก่อนไว้ได้ แฟนผีจึงพากันความหวังว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเสียที หลังตกเป็นเบี้ยล่างให้กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ลิเวอร์พูล” และเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญอย่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” มาตลอด ยิ่งในนัดเปิดสนามพลพรรคปีศาจแดงจัดการถล่มคู่แข่งสำคัญอย่าง “เชลซี” ไปถึง 4-0 ทำเอาบรรดาแฟนคลับสร้างวิมานเป็นการใหญ่ แต่แล้วในอีก 2 นัดต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ดกลับทำได้เพียงเสมอ “วูล์ฟแฮมตัน” และพ่ายคาบ้านให้กับ “คริสตัน พาเลซ” ปิดฉากช่วงเวลาแห่งน้ำผึ้งพระจันทร์ไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่เริ่มฤดูกาล แมนฯ ยูไนเต็ดก็ทำคะแนนหล่นหายไปแล้ว 5 แต้ม โดยทั้งสองเกมนั้นปีศาจแดงเป็นฝ่ายครองเกมไว้อย่างแบบเบ็ดเสร็จ แต่กลับไม่สามารถจบสกอร์ได้แม้จะมีโอกาสจากจุดโทษก็ตาม เป็นผลให้โดนทีเด็ดของคู่แข่งเล่นงานเข้าในที่สุด ซึ่งทั้งสองเกมโอเล่ กุนนาร์ โซลชา เลือกใช้ผู้เล่นชุดเดียวกัน เป็นเครื่องยืนยันว่านี่คือทีมที่ลงตัวที่สุดของผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ แต่เมื่อผลงานออกมาเช่นนี้จึงหนีไม่พ้นเครื่องหมายคำถามว่า นี่คือทีมที่ดีที่สุดจริงหรือ?

แม้ทั้งสองประตูที่เสียให้กับพาเลซ จะเป็นผลจากความผิดพลาดในการเข้าสกัดบอลของวิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และการปิดมุมที่ผิดพลาดของดาวิด เด เคอา แต่เมื่อพิจารณาแล้วจุดเริ่มต้นกลับมาจากแนวรุกที่ไม่สามารถเจาะการตั้งรับคู่แข่งได้ จนเสียบอลแล้วถูกโต้กลับเร็ว ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการขาดนักเตะจอมทัพที่คอยสร้างสรรค์โอกาสในเกมรุกและจบสกอร์แบบเฉียบคม หรือที่เรียกกันในวงการฟุตบอลว่า “ผู้เล่นหมายเลข 10” ตามตำแหน่งแล้วหน้าที่นี้ย่อมตกเป็นของ เจสซี่ ลินการ์ด แต่แนวรุกทีมชาติอังกฤษกลับไม่สามารถแสดงศักยภาพได้ตรงตามตำแหน่ง โดยมีสถิติเป็นเครื่องยืนยันว่าลินการ์ดไม่สามารถยิงประตูหรือจ่ายให้เพื่อนทำประตูมาตั้งแต่ธันวาคม 2018 บกพร่องต่อหน้าที่มายาวนานอย่างไม่น่าให้อภัย แม้จะมีดีในเรื่องความทุ่มเทและวิ่งสู้ฟัด แต่นั้นคือทักษะที่จำเป็นสำหรับมิดฟิลด์ตัวรับ ไม่ใช่ตำแหน่งจอมทัพที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อมองไปที่นักเตะที่มีอยู่ ด้วยทักษะและประสบการณ์ของอเล็กซิส ซานเชส ดูจะมีความเหมาะสมกับตำแหน่งจอมทัพไม่น้อย เว้นแต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าของค่าจ้างสุดแพงจะเลือกย้ายออกจากทีมไป ฮวน มาต้า ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าจะลองให้โอกาสได้พิสูจน์ตัวเองในตำแหน่งนี้อีกครั้ง หลังถูกโยกไปเล่นแนวรุกริมเส้นในช่วงหลัง วิกฤตในแนวรับถูกแก้ไขไปแล้ว คอยดูกันว่าโซลชาจะจัดการปัญหาในแนวรุกอย่างไร จะเลือกให้โอกาสนักเตะคนอื่นดูบ้าง หรือจะเลือกทู่ซี้ใช้งานลินการ์ดต่อไป ทั้งนี้มีตำแหน่งผู้จัดการทีมปีศาจแดงเป็นเดิมพัน