“การเหยียดผิว” มะเร็งร้ายแห่งวงการฟุตบอล

“การเหยียดผิว” มะเร็งร้ายแห่งวงการฟุตบอล

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่ทนต่อการเหยียดผิวไม่ว่าในรูปแบบใด และขอยืนหยัดต่อต้านมันผ่านทางแคมเปญ #AllRedAllEqual เราจะทำทุกทางเพื่อระบุตัวคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และจะหาบทลงโทษรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการสื่อออนไลน์เพื่อให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ด้วย”

นี่คือแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อกรณีที่ “พอล ป็อกบา” ถูกเหยียดผิวอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ อันสืบเนื่องมาจากผลเสมอในเกมกับ “วูล์ฟแฮมป์ตัน” ทั้งที่มีโอกาสเป็นผู้ชนะจากการยิงจุดโทษ แต่มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสกลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูชัยได้ ส่งผลให้ปีศาจแดงเก็บได้เพียงแต้มเดียว พลาดขึ้นไปครองบัลลังก์จ่าฝูงบนตารางพรีเมียร์ลีก

เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงท้ายเกม ขณะที่ทั้งสองทีมเสมอกันอยู่นั้น ป็อกบาตัดสินใจพาบอลเข้าไปในเขตโทษก่อนถูกสกัดล้มลง กรรมการไม่ลังเลที่จะเป่าเป็นจุดโทษทันที ในนาทีนั้นทุกคนหมายมั่นว่า “มาร์คัส แรชฟอร์ด” จะต้องรับหน้าที่เพชฌฆาตอีกครั้ง หลังศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติในนัดที่แล้วกับเชลซี แต่กลับเป็นป็อกบาที่คว้าบอลไปตั้งในกรอบ 18 หลา ก่อนจะยิงไปตรงตัวผู้รักษาประตูเจ้าบ้าน ชนิดที่คาใจแฟนบอลปีศาจแดงทั่วโลก

หลังพลาดจุดโทษ สีหน้าของป็อกบาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาเดินไปขอโทษแฟนบอลในสนามอย่างจริงใจเมื่อการแข่งขันจบลง แม้หลังเกม “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” จะให้สัมภาษณ์ว่าวางทั้งแรชฟอร์ดและป็อกบาเป็นผู้ยิงจุดโทษ โดยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองตามสถานการณ์ แต่ป็อกบาก็หนีไม่พ้นคำตำหนิทั้งจากบรรดากูรูและอดีตนักเตะปีศาจแดง โดยเฉพาะเหล่าแฟนบอลในคราบนักเลงคีย์บอร์ด

แฟนบอลในโลกโซเชียลพากันวิจารณ์อย่างหนักที่ป็อกบาเข้าไปขอเป็นคนยิงลูกโทษเองจากแรชฟอร์ด จากวิจารณ์ฟอร์มในสนาม ลามไปถึงเรื่องการตัดผม จนกระทั้งกลายเป็นการเหยียดหยามชาติพันธุ์ในที่สุด

การเหยียดผิวถือเป็นมะเร็งร้ายที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลมาช้านาน แม้จะมีการรณรงค์อย่างจริงจังจากภาครัฐและสโมสรฟุตบอล แต่จากรายงานของ “Kick It Out” องค์กรการกุศลเพื่อต่อต้านการเหยียดผิว ระบุว่าในปัจจุบันการเหยียดผิวมีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างคึกคะนอง มีการเปิดบัญชีจำนวนมากไว้เพื่อการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงอย่างเปิดเผยโดยไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ

ล่าสุดทางทวิตเตอร์ได้ตอบรับเข้าร่วมหารือกับทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และองค์กร Kick It Out เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยทวิตเตอร์ยืนยันว่าจะทำมากกว่าการปกป้อง และจะทำให้พฤติกรรมการเหยียดผิวไม่มีที่ยืนในสังคมทวิตเตอร์

ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ทุกคนล้วนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ดังนั้นเราจึงควรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และการหยิบยกเอารูปลักษณ์หรือเชื้อชาติที่แตกต่างของบุคคลอื่นมาล้อเลียนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หาใช่สิ่งที่ผู้มีความเจริญทางปัญญาพึงกระทำ