3 ปัจจัย ที่ทำให้แฟนบอลทีมชาติอังกฤษ กลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง

3 ปัจจัย ที่ทำให้แฟนบอลทีมชาติอังกฤษ กลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง

แฟนบอลที่ติดตามเชียร์ทีมชาติอังกฤษมาตลอด มักจะพบกับความผิดหวังในการรายการใหญ่ ๆ เสมอ แต่หลังจากมีปัจจัยเหล่านี้เข้ามา ทำให้ทีมมีผลงานดีจนมีความหวังอีกครั้ง

จากผลงานการแข่งขันของ ทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ที่สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะจบทัวร์นาเมนท์ที่อันดับ 4 หลังจากแพ้ในรอบชิงที่ 3 ให้กับทีมชาติเบลเยียม แต่ก็นับว่าทีมยุคใหม่ของกุนซือแกเร็ธ เซาต์เกตนั้น มีการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะหากคุณเป็นแฟนบอล ทีมสิงโตคำรามมานาน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเล่นของทีมชุดนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดหูผิดตาเลยทีเดียว

3 ปัจจัยที่ส่งให้ทีมชาติอังกฤษกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง

และสิ่งที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษทำผลงานได้อย่างดีในยุคนี้ มีองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่ 3 อย่างด้วยกัน ซึ่งเห็นได้ชัด ว่าสิ่งเหล่านี้ มันสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก และทำให้ทีมมีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันกับบรรดายอดทีมอื่น ๆ ได้ดีกว่าในช่วงที่ผ่าน ๆ มา

1.การยอมออกจากโลกส่วนตัว

เมื่อก่อนทีมชาติอังกฤษมักจะภูมิใจในความเป็นต้นกำเนิดฟุตบอลของตัวเอง และคิดว่าการเล่นในสไตล์โบราณของพวกเขานี่แหละคือฟุตบอลที่แท้จริง จนทำให้ไม่ยอมออกจากโลกโบราณของตัวเองเสียที แม้ว่าโลกของฟุตบอลจะไปไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม ประมาณว่า ประเทศของเราคือผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์เป็นคนแรก และโทรศัพท์มันจะต้องมีสายแบบของเรานี่ สมาร์ทโฟนอะไรไร้สาระสิ้นดี ประมาณนี้แหละ ซึ่งเมื่อแกเร็ธ เซาต์เกต เข้ามาเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นของทีม ให้มีความเป็นฟุตบอลสมัยใหม่มากขึ้น ผลงานจึงออกมาค่อนข้างจะดีนั่นเอง

2.ผู้เล่นพลังหนุ่มฝีเท้าดี

ผู้เล่นในชุดปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นอายุน้อย ที่โชว์ฟอร์มได้ดีกับต้นสังกัดของพวกเขา ไล่มาตั้งแต่ผู้รักษาประตูที่มีทั้งพิคฟอร์ดและเฮนเดอร์สัน โชว์ฟอร์มหนึบแข่งกันเพื่อแย่งตำแหน่งในทีมชาติ กองหลังแกนหลักอย่างจอห์น สโตน และแฮรี่ แม็คไกวร์ ก็อายุแค่ 25-27 ปี แบ็กซ้ายฟอร์มแรงอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนล หรือแบ็กขวาอย่างวาน บิสซาก้า ก็ล้วนแล้วแต่ยังวัยรุ่นอยู่ทั้งนั้น ส่วนในแนวรุกก็ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเมสัน เมาท์, เจม แมดดิสัน, จาดอน ซานโช่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, ราฮีม สเตอร์ริ่ง หรือแม้แต่กับตันทีมอย่างแฮร์รี่ เคน ก็อายุแค่ 26 ปีเท่านั้นเอง

3.การผลักดันผู้เล่นของพรีเมียร์ลีก

ช่วงนี้จะเห็นได้ว่า ทีมจากพรีเมียร์ลีกนั้น ต่างเต็มไปด้วยผู้เล่นภายในประเทศฝีเท้าดีมากมาย ที่สำคัญคือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ อีกด้วย และการที่มีผู้เล่นเหล่านี้ถูกดันขึ้นมา ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับตัวเลขในการเดิมพัน กีฬา fun88 แต่มันส่งผลโดยตรงให้ทีมชาติของพวกเขา มีตัวเลือกในแต่ละตำแหน่งมากขึ้นนั่นเอง มันจึงช่วยยกระดับผลงานของทีมชาติอังกฤษ ขึ้นอย่างผิดหูผิดตาดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน

เส้นทางของทีมชาติอังกฤษในยูโร 2020

ในรอบสุดท้าย ยูโร 2020 ทีมชาติอังกฤษ ถูกจับฉลากให้อยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับทีมรองแชมป์โลกอย่างทีมชาติโครเอเชีย และสาธารณรัฐเช็ค ทีมร่วมกลุ่มในรอบคัดเลือกของพวกเขา และยังรออีกหนึ่งทีมจากรอบเพลย์ออฟ ซึ่งหากประเมินจากคู่ต่อสู้แล้ว เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้ารอบของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก เรียกว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ งานหินสุดคงจะเป็นโครเอเชีย ส่วนทีมร่วมกลุ่มรอบคัดเลือกอย่างสาธารณรัฐเช็ค ที่เคยเจอกันมาแล้ว ผลัดกันแพ้ชนะแบบบ้านใครบ้านมัน แต่เชื่อว่าพวกเขาน่าจะผ่านไปได้หากไม่ติดประมาท แล้วเล่นหลุดฟอร์มกันไปเอง

จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยบวกที่ทำให้แฟน ๆ ทีมชาติอังกฤษ พอจะมองดูเส้นทางของทีมรักของพวกเขา ในการแข่งขันยูโรครั้งนี้ พอจะมีความหวังมากขึ้น ด้วยศักยภาพของทีมชุดนี้ คิดว่าน่าจะดีพอให้แฟน ๆ ทีมสิงโตคำราม ลุ้นกันได้ยาว ๆ ถึงรอบลึก ๆ เลยทีเดียว

ทีมชาติฝรั่งเศสความร้อนแรงของแชมป์โลก ถูกยกเป็นทีมเต็งในกรุ๊ปออฟ เดธ

ทีมชาติฝรั่งเศสความร้อนแรงของแชมป์โลก ถูกยกเป็นทีมเต็งในกรุ๊ปออฟ เดธ

แชมป์โลกล่าสุดทีมชาติฝรั่งเศส ยังคงความแข็งแกร่งของพวกเขาไว้ได้ ทำให้ในยูโร 2020 พวกเขายังคงถูกมองเป็นทีมเต็งแชมป์ ถึงแม้ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

เมื่อปี 2018 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุมกำลังเด็กหนุ่มฝีเท้าดี ที่เต็มไปด้วยเทคนิคและพลัง และด้วยความที่พวกเขาเต็มไปด้วยผู้เล่นวัยหนุ่มนี่แหละ ที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น ซักเท่าไหร่ ในรายการชิงแชมป์ระดับทวีปครั้งนี้ มันจึงทำให้พวกเขายังคงความน่ากลัวอยู่ แถมยังจะเพิ่มความเข้าขารู้ใจกัน ของผู้เล่นภายในทีมอีกด้วย

ขุมกำลังทีมชาติฝรั่งเศสในศึกยูโร 2020

การสร้างทีมชาติฝรั่งเศส ของกุนซืออย่างดิดิเย่ร์ เดชองส์นั้น เน้นไปที่การผสมผสาน การเล่นของบรรดาเด็กหนุ่ม ที่ฟอร์มร้อนแรง เต็มไปด้วยพลังและความสด แล้วเดชองส์ก็สามารถนำสิ่งที่เด็ก ๆ เหล่านั้นมีออกมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งนอกจากจะทำให้ทีมของพวกเขาแข็งแกร่ง อีกหนึ่งข้อดีก็คือ อายุการใช้งานก็จะมากตามไปอีกด้วยนั่นเอง และทีมชุดลุยศึกยูโร 2020 พวกเขาก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแลงไปเลย จากชุดคว้าแชมป์โลก จะมีบ้างก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยเริ่มจาก

ผู้รักษาประตู

น่าจะเป็นตำแหน่งที่มีอายุสูงที่สุดแล้ว ในทีมชาติฝรั่งเศส แต่นายทวารจอมเก๋าอย่างฮูโก้ ยอริส และสตีฟ มองดองด้า ก็ยังคงช่วยให้เพื่อนร่วมทีมอุ่นใจได้อยู่ อย่างน้อยสำหรับยูโรหนนี้ก็ยังไหว

แผงแบ็กโฟร์

การจับคู่กันของสองเซ็นเตอร์จากสองโคตรทีมคู่อริแห่งลาลีกา อย่างราฟาเอล วาราน และซามูเอล อุมตีตี้ ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนในตำแหน่งแบ็คขวานั้น ก็ยังมี เบนจาแมง ปาวาด์ ที่ดูเหมือนจะยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อตอนนี้กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับทางบาเยิร์น มิวนิค ส่วนทางด้านฝั่งซ้ายมีลูคัส เอร์นานเดซ กับเลย์แวง เคอร์ซูมา สลับกันรับผิดชอบ

แผงมิดฟิลด์

ถ้าจะมีปัญหาอยู่บ้างในตำแหน่งนี้ คงจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บ ของมิดฟิลด์ตัวตัดผมของปีศาจแดงอย่างปอล ป็อกบา ส่วนที่เหลือนั้นยังมีก็องเต้ มิดฟิลด์จอมขยันคอยเก็บกวาด เกมรุกหน้าแผงหลังอย่างหมดจดเช่นเดิม และยังมีกำลังเสริมอย่างโตมาส์ เลอมาร์ โคเรงแตง โตลิสโซ่ ส่วนแบลส มาตุยดี้ ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังน่าจะไหวอยู่ สำหรับทัวร์นาเมนท์นี้

แผงเกมรุก

พวกเขายังคงมีสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุค อย่างคิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ เป็นตัวป่วนในแดนหน้าเช่นเดิม ร่วมกับอองตวน กรีซมันน์ แถมยังมีผู้เล่นที่ฟอร์มแรงขึ้นมาอีก อย่างคิงสลีย์ โกมอง กับวิสซาม เบน เยเดร์ คอยเป็นตัวเลือกอีกด้วย หรือจะเป็นอองโตนี่ มาร์กเซียล ก็พอได้เช่นกัน ส่วนหน้าเป้าอย่างโอลิวิเยร์ ชิรูด์นั้น ถึงจะไม่มีบทบาทมากนักกับต้นสังกัด แต่เขายังมีประโยชน์สำหรับ แท็กติกของเดชองส์อยู่ และดูจากสภาพร่างกายของเขาแล้ว น่าจะยังช่วยทีมได้สบาย ๆ ในยูโรหนนี้ ขอเพียงแค่เดชองส์ เรียกมาเท่านั้น

เส้นทางในรอบสุดท้ายของทีมชาติฝรั่งเศส

ผลการจับฉลากแบ่งกลุ่มรอบสุดท้าย ยูโร 2020 ทีมชาติฝรั่งเศส ได้อยู่ร่วมในกลุ่มออฟ เดธ ที่มีทั้งเยอรมัน และโปรตุเกส ถึงแม้ว่าจะต้องรออีกหนึ่งทีมจากรอบเพลย์ ออฟ แต่ไม่ว่าจะเป็นทีมใด แค่มีสามทีมนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะยกให้กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มแห่งความตาย ดังนั้นการแข่งขันเพื่อคว้าสิทธิ์การผ่านเข้ารอบ จะต้องเป็นไปอย่างเข้มข้น และมันหยดอย่างแน่นอน แต่ยังไงก็เชื่อว่าลูกทีมของเดชองส์ น่าจะเอาตัวรอดได้ หากไม่ผิดพลาดอย่างน่าเกลียดกันไปเอง

มันจะเป็นงานยากตั้งแต่เริ่มต้นเลยก็ว่าได้ สำหรับทีมชาติฝรั่งเศส ในยูโร 2020 นี้ แต่พวกเขาเคยทำได้ดีมาแล้ว ในฟุตบอลโลกหนล่าสุด และยังมีส่วนดีในด้านทีมเวิร์คเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย หลังผ่านการเล่นร่วมกันเพิ่มมาอีกถึงสองปี ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้พวกเขา น่ากลัวมากขึ้น และถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มเส้นทางในกลุ่มแห่งความตาย แต่เชื่อว่าด้วยขุมพลังที่พวกเขามีจะสามารถก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน แต่จะผ่านไปได้ไกลแค่ไหน จะสามารถสานต่อความยิ่งใหญ่ จากแชมป์ฟุตบอลโลก มาสู่แชมป์ยูโรได้หรือไม่ คงจะต้องตามดูกันอีกที

เอดูอาร์ด เมนดี้ นายทวารชื่อไม่ดังที่กำลังปัง ในรังสิงโตน้ำเงินคราม

เอดูอาร์ด เมนดี้ นายทวารชื่อไม่ดังที่กำลังปัง ในรังสิงโตน้ำเงินคราม

ในช่วงตลาดหน้าร้อนที่ผ่านมานั้นทีมที่ทำการจ่ายตลาดแบบไม่หวั่นต่อวิกฤติการเงินของช่วงแพร่ระบาดของเชื้อโรคเลยก็คือสิงโตน้ำเงินคราม เชลซีนั่นเอง ซึ่งในขณะที่หลายทีมกำลังเกิดปัญหาด้านการเงินนั้นเจ้าของทีมอย่างเสี่ยหมี โรมัน อับราโมวิช สามารถควักกระเป๋าให้แฟรงค์ แลมพาร์ดสร้างทีมใหม่ถึง 220 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

โดยการจ่ายตลาดในครั้งนี้เป็นการเสริมทัพด้วยผู้เล่น 5 คนด้วยกัน คนที่มีค่าตัวแพงที่สุดคือไค ฮาแวร์ท ที่ 71 ล้านปอนด์ ส่วนคนที่ถูกที่สุดก็คือเอดูอาร์ด เมนดี้ ที่มีค่าตัวอยู่ที่ 22 ล้านปอนด์ ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่ราว 50 ล้านปอนด์ ซึ่งผลงานโดยรวมก็ถือว่ายังไม่โดดเด่นมากนัก ถ้าหากเทียบกับเม็ดเงินที่เสียไป แต่ก็คงพอที่จะเข้าใจได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่นักเตะกำลังปรับตัวให้เข้ากับทีมใหม่อยู่นั่นเอง แต่ในขณะที่บรรดาแข้งค่าตัวแพงกำลังปรับตัวอยู่นั้น คนที่ค่าตัวน้อยกว่าคนอื่นอย่างเมนดี้ต่างหากที่กลับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจจนได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยเฉพาะเกมที่เซฟอุตลุดจนสามารถพาทีมเซฟคะแนนได้ในเกมกับปีศาจแดง ซึ่งมันก็ดูเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายพอสมควรเลยทีเดียว

การที่บอกว่าเหนือความคาดหมายไม่ใช่ว่าเป็นการดูถูกตัวเมนดี้แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้รักษาประตูที่เชลซีมีอยู่คนหนึ่ง ก็คือปีเตอร์ เช็ก ที่ถึงแม้ว่าจะอายุมากแล้วแต่ชื่อชั้น ฝีมือ และประสบการณ์ก็มีมากกว่าเขาหลายช่วงตัว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือเกป้า อาร์ริสซาบาลากา นายทวารหนุ่มชาวสเปนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกขณะนี้ ส่วนตัวของเมนดี้เองซึ่งขณะนี้อายุมากถึง 28 ปีแล้ว แต่เขาพึ่งจะมีประสบการณ์บนลีกสูงสุดเมืองน้ำหอมเพียงแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นในสนามในเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดนั้นมันถึงกับเป็นการเบียดนายทวารค่าตัวแพงอย่างเกป้าลงไปเป็นมืออันดับที่สามของทีมเลยทีเดียว

สำหรับเอดูอาร์ด เมนดี้ นั้นนอกจากจะเป็นผู้รักษาประตูที่เหนียวหนึบแล้ว เส้นทางการมาเป็นยอดนายทวารของเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เขาเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเลออาร์ฟ ทีมเล็ก ๆ ในบ้านเกิด แต่ก็ไม่สามารถไปต่อได้เพราะทางสโมสรเห็นว่าเขาไม่ดีพอ ทำให้เขาต้องลงไปเล่นกับทีมเล็ก ๆ ในลีกอันดับสามของประเทศ แต่ก็ยังไม่วายจะถูกยกเลิกสัญญาจากทีม จนต้องเป็นนักเตะว่างงานอยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ จนตัวเขาเองเคยคิดจะล้มเลิกชีวิตนักฟุตบอลไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เขาก็สามารถกลับมาได้ด้วยความพยายาม ความอดทนและเลือดนักสู้ที่เขามีอยู่ในตัว และสิ่งเหล่านั้นก็สามารถพาเขาก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้น ก้าวกระโดดจากผู้รักษาประตูลีกล่างขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงมือหนึ่งของทีมใหญ่อย่างเชลซีได้สำเร็จ

ณ เวลานี้การทุ่มเงินซื้อตัวอย่างมหาศาลของเชลซี การซื้อตัวเอดูอาร์ด เมนดี้นั้นดูจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในตลาดรอบนี้ รวมไปถึงแก้ปัญหาที่ตรงจุดอีกด้วย เพราะที่ผ่านมาตำแหน่งนี้ถือเป็นปัญหาที่ไม่รู้จบเสียทีของพวกเขา นับต้องแต่ยุครุ่งเรืองของปีเตอร์ เช็กเลยทีเดียว และหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขานี่แหละคือ ปีเตอร์ เช็ค คนต่อไป

ทีมชาติสเปนยุคถ่ายเลือดใหม่ ดีพอที่จะกลับสู่วันที่ยิ่งใหญ่ได้หรือยัง

ทีมชาติสเปนยุคถ่ายเลือดใหม่ ดีพอที่จะกลับสู่วันที่ยิ่งใหญ่ได้หรือยัง

หลังจากการอำลาทีมชาติของผู้เล่นหลายคนในทีมชาติสเปน ทำให้ฟอร์มของพวกเขาดูจะเงียบไปสักพักหนึ่ง พวกเขาพร้อมหรือยังที่จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในศึกยูโร 2020

การผลัดเปลี่ยนและการร่วงโรย ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ตามกฎเกณฑ์แห่งเวลา ในโลกแห่งฟุตบอลก็เช่นกัน และทีมชาติสเปน ก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ที่ผลกระทบจากการผลัดเปลี่ยนผู้เล่น สร้างปัญหาให้พวกเขาค่อนข้าง จะมากมายเลยทีเดียว เมื่อพวกเขาไม่สามารถรักษาผลงานระดับสุดยอดได้เหมือนที่เคยเป็นมา จนทำให้พวกเขาดูจะเงียบ ๆ ไปพอสมควร ในรายการใหญ่ระดับชาติ สามรายการที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2014 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโร 2016 และรอบเดียวกันในฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมันมีผลมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้

การหายไปพร้อมกันหลายคนของสุดยอดผู้เล่นทีมชาติสเปน

ถ้าเปรียบการผลัดเปลี่ยนผู้เล่นของฟุตบอล กับการถ่ายเลือดใหม่อย่างที่คุ้นหูในปัจจุบัน กรณีของทีมชาติสเปนนั้น ก็คงจะเปรียบได้กับการถ่ายเลือดแบบที่เอาเลือดเก่าออกไปเยอะเกิน แถมยังเยอะเกินกว่าจาเลือดใหม่เข้ามาทดแทนได้อย่างเพียงพออีกด้วย แน่นอนล่ะว่าการอำลาทีมชาติของผู้เล่นระดับโลกมันย่อมส่งผลกระทบกับทีมอยู่แล้ว แต่สำหรับสเปนมันเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าทีมไหน ๆ เมื่อผู้เล่นที่พร้อมใจกันหายหน้าออกไปจากทีมล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นระดับโลกทั้งนั้น การที่จะหาคนมาทดแทนนักเตะอย่าง อิเกร์ คาสิยาส, เคราร์ด ปิเก้, ดาบิด บีย่า, ชาบี้ เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า, เฟอร์นานโด ตอร์เรส, ซาบี้ อลอนโซ่ และอีกหลายคน แค่คิดก็แทบจะกลั้นใจตายแล้ว ไม่ว่าโค้ชคนเก่งรายไหนก็ตาม

ช่องว่างระหว่างผู้เล่นเก่ากับผู้เล่นที่จะมาทดแทนในทีมชาติสเปน

ช่วงรุ่งโรจน์ของทีมชาติสเปน อย่างที่รู้ว่าทีมเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลก ซึ่งข้อดีก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเก่งกาจขนาดไหน แต่ในมุมหนึ่ง ส่วนที่เป็นข้อเสียก็คือ มันทำให้ยากนักที่จะมีผู้เล่นดาวรุ่งแทรกตัวผ่านรุ่นพี่เหล่านั้น ขึ้นมาสัมผัสกับประสบการณ์ในการลงสนามเกมใหญ่ ๆ ซึ่งจุดนี้มันจึงส่งผลกระทบอย่างมาก เมื่อบรรดารุ่นพี่พวกนั้นหายหน้าไปจากทีมพร้อม ๆ กัน เหล่าเด็กรุ่นต่อมาที่ขึ้นมาแทน นอกจากจะไม่ค่อยมีประสบการณ์แล้ว อีกมุมหนึ่งพวกเขายังต้องแบกรับความคาดหวังของแฟนบอลไว้อีกด้วย ว่าพวกเขาจะต้องทำให้ได้ในระดับเดียวกับที่ชุดก่อนเคยทำเอาไว้ มันจึงไม่ง่ายเลยสำหรับบรรดากระทิงหนุ่มทั้งหลาย

สำหรับทีมชุดลุยศึก ยูโร 2020 นี้ พวกเขายังคงมีตัวเก๋าที่คอยประคองรุ่นน้องอยู่ นำโดยกัปตันทีมแซร์จิโอ รามอส และรองกัปตัน อย่างแซร์จิโอ บุสเก็ตส์ เป็นแกนหลักในแผงเกมรับ และแผงมิดฟิลด์ตามลำดับ ส่วนหลังบ้านมีดาบิด เด เคอา กับเกปา อาลิสซาบาลาก้า ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ฝีมือดี แผงหลังมีราอูล อบิโอล จับคู่กับรามอส ขนาบด้วยจอร์ดี้ อัลบา กับดานี่ การ์บาคัล จากมาดริด แผงกลางมีบุสเก็ตส์ประคองเกม ร่วมกับเด็กหนุ่มอย่าง ติอาโก้ อัลกันตารา, โรดรี้, ฟาเบียน รุยส์, ซาอูล นิเกวซ และคนอื่นคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน สนับสนุนเกมรุกที่มีอัลวาโร โมราต้า เป็นหล้าตัวเป้า พร้อมหน่วยสร้างสรรค์ อย่างอิสโก้, กาซอร์ล่า, มูเนียอิน คอยปั้นเกมอยู่ข้างหลัง

สำหรับการแข่งขันยูโร 2020 นี้ ทีมชาติสเปนถูกจับให้อยู่ในกลุ่ม อี ซึ่งมีเพื่อนร่วมกลุ่มคือสวีเดน โปแลนด์ และอีกหนึ่งทีมจากรอบเพลย์ ออฟ หากดูจากผู้เล่นและฟอร์มในรอบคัดเลือกแล้ว พวกเขาอาจจะมีโอกาสไม่น้อยเลย ที่จะกลับมาสู่ความสำเร็จ บนเวทีระดับชาติอีกครั้ง เพราะเด็กหนุ่มเหล่านี้ ก็ผ่านการสั่งสมประสบการณ์ มาแล้วถึงสองรายการใหญ่ และถ้าหากพวกเขาอยู่ในฟอร์มการเล่นของตัวเองแล้วละก็ ไม่ว่าทีมไหนในยูโร พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวอย่างแน่นอน และสำหรับแฟนฟุตบอลของทีมกระทิงดุ น่าจะได้ลุ้นทีมที่พวกเขารักไปถึงรอบลึก ๆ ในยูโร 2020 แน่ เชื่อว่าพวกเขามีดีพอ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เมื่อโรเบอร์โต้ มันชินี่ สร้างทีมชาติอิตาลียุคใหม่ พร้อมกลับมายิ่งใหญ่ ในยูโร 2020

เมื่อโรเบอร์โต้ มันชินี่ สร้างทีมชาติอิตาลียุคใหม่ พร้อมกลับมายิ่งใหญ่ ในยูโร 2020

ผลงานรอบคัดเลือกของทีมชาติอิตาลี ทำให้ผู้คนต้องจับตามองพวกเขาอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาได้สร้างทีมยุคใหม่ได้อย่างหน้าสนใจ พร้อมจะกลับมายิ่งใหญ่หลังเงียบหายไปนาน

เดิมทีแฟนบอลทั่วโลกมักจะจดจำภาพลักษณ์ของทีมชาติอิตาลีในการเล่นแบบตีหัวเข้าบ้าน เน้นเกมรับเหนียวแน่นไว้ก่อน และคาดการไว้ก่อนเลยว่า หากจะต้องดูเกมการแข่งขันของพวกเขาจะต้องน่าเบื่ออย่างแน่นอน แต่ปัจจุบันการเข้ามาสร้างทีมใหม่ของกุนซือจอมแท็กติกอย่าง โรเบอร์โต้ มันชินี่ เขาได้สร้างทีมชุดใหม่ให้มีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก เห็นได้จากฟอร์มการเล่นในรอบคัดเลือก ที่สามารถเก็บชัยชนะได้ครบทุกนัดเลยทีเดียว

การสร้างทีมชาติอิตาลียุคใหม่ของมันโช่

โรเบอร์โต้ มันชินี่ กุนซือชาวอิตาลีโดยแท้ เขารู้จักกับทีมชาติอิตาลีของเขา และสไตล์การเล่นของทีมอย่างดี นอกจากจะรู้จักกับฟุตบอลของบ้านเกิดอย่างดีแล้ว ประสบการณ์การคุมทีมระดับสโมสรของเขายังมีมากมายอีกด้วย เมื่อเขานำสิ่งเหล่านี้มารวมกัน รักษาจุดเด่น แก้ไขจุดด้อยของทีม จนทำให้ทีมอัสซูรี่ในยุคของเขา น่ากลัวอย่างมากเลยทีเดียว

1.รักษาจุดเด่นในเกมรับ

พวกเขาสร้างทีมใหม่จากสิ่งที่มี เมื่อมันดีอยู่แล้วจะไปปรับเปลี่ยนทำไม ในแผงหลังพวกเขายังคงอุดมไปด้วยผู้เล่นเกมรับระดับโลก เริ่มจากผู้รักษาประตูหนุ่มจากเอซี มิลาน อย่างจิอันลุยจิ ดอนนารุมม่า เป็นปราการด่านสุดท้าย อยู่ข้างหลังการจับคู่กันของจอร์โจ้ คิเอลินี่ กับเลโอนาร์โด โบนุชชี่ ที่เล่นด้วยกันมาอย่างยาวนานนับสิบปี ส่วนฝั่งซ้ายขวาก็มี เอเมอร์สัน จากเชลซี และอเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ กับตันทีมโรม่า ซึ่งทีมรับชุดนี้ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้เห็นแล้ว โดยในรอบคัดเลือกพวกเขาเสียไปเพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น จากทั้งหมด 10 เกม

2.แผงกองกลางที่แข็งแกร่ง

กองกลางของทีมชาติอิตาลีในยุคมันโช่ ก็เป็นอีกตำแหน่งที่อุดมไปด้วยสุดยอดผู้เล่น โดยการเล่นของแผงมิดฟิลด์ชุดนี้ มันโช่เน้นหนักไปในทางการสร้างสมดุล เน้นการเพรสซิ่งและถ่ายบอลอย่างลื่นไหล โดยมีมาร์โก แวร์รัตติ และจอร์จินโญ่เป็นแกนหลัก เสริมด้วยความสดของเด็กหนุ่มฝีเท้าดีอีกหลายคน คอยผลัดเปลี่ยนกันลงสนาม ถึงแม้จะไม่มีเพลย์เมกเกอร์แบบพาบอลทะลุทะลวง แต่พวกเขาก็ใช้การขับเคลื่อนเกมด้วยการผ่านบอลสวย ๆ สนับสนุนเกมรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เพิ่มมิติใหม่ในเกมรุก

เกมรุกของทีมชุดนี้ มันโช่เน้นใช้ผู้เล่นที่มีความเร็วสูงและไปกับบอลได้ดี โดยริมเส้นใช้ ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ จากนาโปลี กับเฟดเดริโก้ เคียซ่า จากฟิออเรนติน่า ส่วนหน้าเป้าก็มีตัวเลือกที่ดีอย่าง อันเดรีย เบล็อตติ กับชิโร่ อิมโมบิเล่ ดาวยิงฟอร์มแรงที่กำลังลุ้นดาวซัลโวของลีก กับลาซิโอ ซึ่งผลงาน 37 ประตู จากรอบคัดเลือก 10 นัด เป็นการการันตีศักยภาพของแผงเกมรุกชุดนี้ได้เป็นอย่างดี

เส้นทางของทีมชาติอิตาลีในยูโร 2020

รอบสุดท้ายยูโร 2020 นี้ ทีมชาติอิตาลีถูกจับฉลากมาอยู่ในกลุ่ม A ร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี และเวลส์ ซึ่งถึงจะดูไม่แข่งแกร่งมากนัก แต่ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน แต่ยังไงก็เชื่อว่าพวกเขาน่าจะเอาตัวรอดผ่านไปได้ หากว่ายังคงรักษามาตรฐานการเล่นของพวกเขาไว้ได้ เชื่อว่าทีมร่วมกลุ่มจะไม่สามารถต้านทานพวกเขาได้อย่างแน่นอน ส่วนในรอบน็อกเอาท์นั้น น่าจะเป็นงานถนัดของพวกเขาเลย ด้วยการเล่นที่มีพื้นฐานมาจาดเกมรับที่แข็งแกร่ง หากคู่ต่อสู้มาเปิดเกมรุกใส่พวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าละก็ อาจจะโดนสอยร่วงได้ง่าย ๆ เลย

จากการปรับแต่งทีมยุคใหม่ของโรเบอร์โต้ มันชินี่ และศักยภาพของบรรดาผู้เล่นที่พวกเขามี ดูแล้วทีมชาติอิตาลีน่าจะเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์รายการนี้อย่างแน่นอน อาจจะถึงเวลากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาในถ้วยใบนี้แล้วก็ได้ หลังห่างหายไปนานกว่า 50 ปี แต่ที่แน่ ๆ แฟนฟุตบอลจะได้เห็นพวกเขาในรูปแบบใหม่ ที่เล่นเกมรุกได้สนุกสนานเร้าใจ ต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน

“กำแพงสีเหลือง” แห่งเวสต์ฟาเล่นพลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งของดอร์ทมุนด์

“กำแพงสีเหลือง” แห่งเวสต์ฟาเล่นพลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งของดอร์ทมุนด์

สนามฟุตบอลของแต่ละทีมนั้นก็เปรียบเสมือนบ้านของนักฟุตบอล ดังที่เราจะเห็นว่ามีการเรียกเป็นทีมเหย้าทีมเยือน และแต่ละทีมก็จะมีรังเหย้าของตัวเองซึ่งการได้เล่นในบ้านตัวเองที่มีคนในบ้านหรือแฟนบอลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ มันก็ช่วยสร้างพลังใจและความได้เปรียบให้กับนักฟุตบอลในสนามอย่างมากตามไปด้วย และหนึ่งในสนามเหย้าที่ได้ชื่อว่ามีฐานกองเชียร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกของฟุตบอลก็คือ สนามเวสต์ฟาเล่นสตาดิโอน รังเหย้าของทีมเสือเหลือง โบรุสเซีย ดอร์ทมุน ทีมดังในศึกบุนเดสลีกาเยอรมันนั่นเอง

เวสต์ฟาเล่นนั้นนอกจากจะเป็นเหมือนบ้านของนักฟุตบอลแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นเหมือนบ้านของเหล่าแฟนบอลอีกด้วย เพราะพวกเขาคือทีมที่มีฐานแฟนบอลที่แข็งแกร่งอย่างมากซึ่งมันมาจากการที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างมากกับกลุ่มแฟนบอล โดยเห็นว่ากลุ่มผู้สนับสนุนจากข้างสนามนี่แหละคือลมหายใจของโบรุสเซีย พวกเขาจึงปฏิบัติต่อแฟนบอลแบบที่พิเศษกว่าทีมอื่นทำ ไม่ว่าจะเป็นการให้แฟนบอลเข้ามาถือหุ้นเป็นเจ้าของสโมสรร่วม การไม่ขึ้นค่าตั๋วเพื่อให้ทุกคนยังเข้าชมเกมได้ไม่ว่าสถานการณ์การเงินจะเลวร้ายเพียงใด มันจึงทำให้สโมสรแห่งนี้เป็นที่รักของคนในเมืองอย่างมากและคิดว่าทีมนี้คือทีมของชาวเมืองโบรุสเซียอย่างแท้จริง

และผลที่พวกเขาได้รับตอบแทนจากการที่ทำดีกับแฟนบอลนั้นมันก็มากมายเกินกว่าที่จะคาดคิด อย่างแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือจำนวนแฟนบอลที่เข้าชมเกมในสนามแห่งนี้มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 80,000 คนต่อเกมเลยทีเดียว และแฟนบอลดอร์ทมุนด์นั้นไม่ได้ขึ้นชื่อเพียงแค่ในเรื่องของปริมาณเท่านั้น แต่พวกเขายังเชียร์ทีมรักแบบสุดใจขาดดิ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอัฒจันทร์ทางฝั่งใต้ที่เป็นจุดรวมของกลุ่มแฟนบอลพันธุ์แท้ของทีม ที่แสดงออกมาผ่านการเชียร์อันน่าเกรงขามจนเป็นที่รู้จักกันในนาม “กำแพงสีเหลือง” นั้นมันได้กลายเป็นเสน่ห์ของสนามแห่งนี้ไปพร้อมกับการกระตุ้นกำลังใจให้นักเตะของพวกเขา และข่มขวัญนักเตะทีมเยือนได้อย่างมากเลยทีเดียว และนอกจากเสียงเชียร์ในสนามแล้วด้วยความรักที่พวกเขามีต่อสโมสรและคิดว่าสโมสรนี้เป็นของพวกเขาอย่างแท้จริง ในยามที่สโมสรเกิดช่วงเวลาอันยากลำบากแฟนบอลของ ดอร์ทมุนด์ยังเคยระดมทุนเพื่อมอบให้กับทางสโมสรไปใช้แก้วิกฤติอีกด้วย

ที่สนามเวสต์ฟาเล่นสตาดิโอนแห่งนี้ อาจจะไม่ใช่สนามที่มีความจุมากที่สุดหรือเป็นที่ที่ผ่านความสำเร็จมากที่สุด แต่ที่สนามแห่งนี้มันเป็นสนามฟุตบอลที่สวยที่สุด และความสวยนั้นไม่ได้มาจากสถาปัตยกรรมหรือวิวทิวทัศน์แต่อย่างใด แต่มันคือความสวยงามของความรักที่ทางสโมสรมีให้ต่อแฟนบอล และแฟนบอลมีให้ต่อสโมสร และภาพแห่งความสวยงามนี้มันก็ทำให้แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นว่าเวสต์ฟาเล่นสตาดิโอนนั้นน่าไปเยือนเพียงใด

ซาน ซิโร่ หนึ่งสนามที่ใช้เป็นรังเหย้าของสองยักษ์ใหญ่แห่งกัลโช่ ซีเรีย อา

ซาน ซิโร่ หนึ่งสนามที่ใช้เป็นรังเหย้าของสองยักษ์ใหญ่แห่งกัลโช่ ซีเรีย อา

เราคงจะเคยได้ยินกับคำพูดที่ว่า “เสือสองตัวจะอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้” แต่ถ้าหากว่าถ้ำแห่งนั้นมีชื่อว่า “สตาดิโอจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า” หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ซาน ซิโร่” นั้น มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเสือสองตัวนั้นสามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ เพราะสนามฟุตบอลแห่งนี้ถูกใช้เป็นรังเหย้าร่วมกันของสองทีมจากเมืองมิลาน ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นทีมใหญ่ระดับต้น ๆ ของประเทศนั่นก็คืออินเตอร์ มิลาน กับเอซี มิลานนั่นเอง

สนามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยทางฝั่งเอซี มิลานในปี 1925 และได้ทำการตั้งชื่อว่า “ซาน ซิโร่” ตามสถานที่ตั้งของสนามแห่งนี้ ก่อนที่ทางสภาเมืองมิลานจะเข้ามาทำการซื้อสนามแห่งนี้ในปี 1935 แต่ทางมิลานก็ยังคงใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้าอยู่เหมือนเดิม จนมาถึงในปี 1947 ทางฝั่งอินเตอร์จึงได้เข้ามาขอใช้สนามแห่งนี้เป็นรังเหย้าด้วยอีกหนึ่งทีมทำให้สนามแห่งนี้กลายเป็นถ้ำของเสือใหญ่สองตัวแห่งวงการฟุตบอลอิตาลีมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชื่อจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่านั้นได้ตั้งขึ้นมาเพิ่มเติมในปี 1980 เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ตำนานนักเตะของทางฝั่งอินเตอร์ซึ่งเขาก็เคยเล่นให้ทางฝั่งมิลานด้วยเช่นกัน ประมาณว่าย้ายทีมแต่ไม่ได้ย้ายสนามไปไหนนั่นเอง

ถึงแม้ว่าทั้งสองทีมจะเป็นทีมใหญ่ทั้งคู่แถมยังเป็นคู่รักคู่แค้นกันตามประสาทีมร่วมเมือง แต่ทั้งสองทีมก็ใช้สนามแห่งนี้ร่วมกันมาได้อย่างยาวนาน จะมีกระทบกระทั่งกันบ้างก็แค่ในยามที่มีศึกผ่าเมือง หรือเกมดาร์บี้แมตช์ของทั้งสองทีมนี้เท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้บรรยากาศในสนามดูน่าเกรงขามไม่น้อยเลยทีเดียว และมันก็ส่งผลให้เกมในสนามนั้นตึงเครียดตามไปด้วย แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงนักหากเทียบกับคู่ดาร์บี้แห่งโรม

นอกจากซาน ซิโร่จะเป็นสนามที่น่าสนใจตรงที่เป็นสนามเหย้าของสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองมิลานแล้ว สนามแห่งนี้ยังเป็นสนามที่มีประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลมากมายที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ว่าจะเป็นในระดับทีมชาติหรือระดับสโมสร เพราะสนามแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นสังเวียนการแข่งขันมาแล้วทั้งฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร รวมไปถึงใช้ทำการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกนัดชิงชนะเลิศมาแล้วถึง 4 ครั้งอีกด้วย

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่าทั้งสองสโมสรกำลังมีแผนว่าจะทุบสนามฟุตบอลเก่าแก่เกือบร้อยปีแห่งนี้ทิ้ง เพื่อที่จะทำการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะลดจำนวนที่นั่งในสนามลงให้สอดคล้องกับจำนวนแฟนบอลที่เข้าชมเกมในสนามที่มีไม่ถึงครึ่งของสนามแห่งนี้ ซึ่งถ้าหากว่าเกิดขึ้นจริงคงจะเป็นเรื่องที่น่าใจหายไม่น้อยที่สถานที่สำคัญของโลกฟุตบอลอย่างซาน ซิโร่นั้นจะต้องถูกทุบทิ้งไป แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องรอทางฝั่งสภาเมืองผู้เป็นเจ้าของตัวจริงว่าจะเอาด้วยกับทั้งสองทีมหรือไม่ ก็คงได้แต่หวังว่าทางสภาเมืองจะไม่เห็นด้วยและยังคงเก็บรักษาสนามแห่งนี้ให้ยังคงเป็นประวัติศาสตร์แห่งโลกฟุตบอลต่อไป

คัมป์ นู ยานแม่ของทีมต่างดาว สนามที่จุแฟนบอลได้มากที่สุดในยุโรป

คัมป์ นู ยานแม่ของทีมต่างดาว สนามที่จุแฟนบอลได้มากที่สุดในยุโรป

ถ้าสำหรับวงการฟุตบอลแล้วหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากมายคงหนีไม่พ้นบาร์เซโลน่า และถ้าหากว่าทีมของพวกเขาเป็นทีมจากต่างดาวอย่างที่แฟนบอลตั้งฉายาให้ แน่นอนว่ายานแม่ของพวกเขาก็ย่อมจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะสนามที่พวกเขาใช้เป็นรังเหย้าอย่าง คัมป์ นูนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นสนามกีฬาที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของทวีปยุโรปหรืออาจจะบอกได้ว่าของโลกเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างบาร์เซโลน่านั้นย่อมมีแฟนบอลมากมายที่อยากจะเข้าชมเกมของพวกเขา ดังนั้นความยิ่งใหญ่ของคัมป์ นูนั้นอย่างแรกเลยก็คือความจุของสนามนั่นเอง โดยสนามแห่งนี้เตรียมความจุของสนามไว้รองรับแฟนบอลจากทั่วโลกสูงถึง 99,354 ที่นั่งเลยทีเดียว ทำให้บรรยากาศในการลงเล่นใบบ้านของพวกเขาต่อหน้าแฟนบอลที่มากมายขนาดนั้นมันเป็นเหมือนฝันร้ายของทีมเยือนเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเสียงเชียร์ของแฟนทีมเยือนที่ตามมาจะถูกกลบด้วยเสียงของแฟนเจ้าบ้านอย่างแน่นอน

สนามคัมป์ นู นั้นตั้งอยู่เมืองบาร์เซโลน่า แคว้นคาตาลุนญ่า ประเทศสเปน ได้เริ่มทำการก่อสร้างขึ้นในปี 1954 และได้ฤกษ์เปิดใช้งานในปี 1957 เท่ากับว่าสนามแห่งนี้มีอายุกว่า 60 ปีแล้วในปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานของสนามแห่งนี้ได้สัมผัสกับความสำเร็จมากมายในโลกฟุตบอล โดยในแง่ของถ้วยรางวัลที่ทางบาร์เซโลน่าคว้ามาได้นับตั้งแต่เข้ามาใช้สนามแห่งนี้ก็จะมี แชมป์ลาลีกา 20 สมัย โกปา เดล เรย์ 18 สมัย ซูเปอร์โคปา 13 สมัย ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 5 สมัย ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 4 สมัย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 5 สมัย และแชมป์สโมสรโลกอีก 3 สมัยเลยทีเดียว นับว่าช่วงเวลาในถิ่นคัมป์ นู นั้นเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นยอดทีมของโลกได้อย่างเต็มตัว

นอกจากจะเป็นสนามเหย้าอันยิ่งใหญ่ของทีมบาร์เซโลน่าแล้ว คัมป์ นู ยังเป็นเหมือนท่อน้ำเลี้ยงหลักของสโมสรแห่งนี้อีกด้วย เพราะรายได้หลักที่พวกเขานำมาสร้างทีมที่ยิ่งใหญ่นั้นมันมาจากยอดการขายตั๋วที่มากเกือบนัดละแสนใบนี่แหละ แถมนอกจากการขายตั๋วชมการแข่งขันแล้วยังมีการเปิดสนามให้แฟนบอลจากทั่วโลกเข้าเยี่ยมชมสนาม ซึ่งทำรายได้ให้กับสโมสรเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียวในแต่ละปี แต่มันก็เหมือนเป็นดาบสองคมในยามที่โลกเราได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเช่นในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถเปิดให้แฟนบอลเข้าชมเกในสนามได้และนักท่องเที่ยวก็ไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมชมสนามแห่งนี้ได้ มันก็ทำให้รายได้ของพวกเขาแทบจะหายไปทั้งหมดเลยทีเดียว ในขณะที่รายจ่ายต่าง ๆ นั้นยังคงสูงลิบอยู่เหมือนเดิม

ทางบาร์เซโลน่าคงได้แต่หวังว่าปัญหาการแพร่ระบาดจะหมดไปโดยเร็ว เพื่อให้สถานการณ์บนโลกฟุตบอลกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และทำให้แฟนบอลจากทั่วทุกมุมโลกได้สัมผัสกับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของสนามแห่งนี้เหมือนที่เคยมีมา และทำให้สถานการณ์การเงินของพวกเขาดีขึ้น แต่ก็คงไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาที่หวังแบบนั้น เชื่อว่าแฟนบอลจากทั่วทุกมุมโลกก็คงจะคิดเหมือนกัน เพราะการชมเกมการแข่งขันของบาร์เซโลน่ามันจะต้องมาพร้อมกับเสียงเชียร์และบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ในคัมป์ นูไปพร้อม ๆ กัน มันถึงจะได้อรรถรสในการเชียร์อย่างแท้จริง

สนามราชมังคลากีฬาสถาน…ความภาคภูมิใจของคนไทย

สนามราชมังคลากีฬาสถาน…ความภาคภูมิใจของคนไทย

หากพูดถึงสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลาย ๆ คนคงจะจินตนาการไปถึงสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานกันอย่างแน่นอน ซึ่งสนามแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสนามแห่งความภาคภูมิใจของชาวไทยอย่างแท้จริง ด้วยความหรูหรา ใหญ่โตและอลังการ ก็ทำให้หลาย ๆ คนนั้นรู้สึกได้ชัดเจนว่าสนามแห่งนี้เชิดหน้าชูตาคนไทยได้

ราชมังคลากีฬาสถาน ความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา

นอกจากจะเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ที่นี่ยังเป็นสนามกลางของสนามกีฬาหัวหมากอีกด้วย ประวัติความเป็นมาของสนามกีฬาแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ในวโรกาสพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ออกแบบโดยรังสรรค์ ต่อสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบอีกด้วย โดยจุดมุ่งหมายก็เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาเอเชียนเกมส์ พ.ศ. 2541 ที่ประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพ

สนามเหย้าของทีมชาติไทย

หลาย ๆ คนคงไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วสนามเหย้าของทีมชาติไทยนั้นเป็นสนามราชมังคลากีฬาสถานนี่เอง นอกจากจะใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลครั้งสำคัญแล้ว ยังมีความโดดเด่นทั้งในเรื่องความกว้างขวาง สะดวกสบาย เหมาะสมกับการชมฟุตบอลนัดสำคัญอย่างยิ่ง

สนามฟุตบอลที่ไม่ได้มีดีแค่แข่งฟุตบอล

สำหรับข้อดีของสนามแห่งนี้นอกจากจะเป็นสนามฟุตบอลแล้วก็ยังเป็นสถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ต หรือจัดดนตรีกลางแจ้ง โดยมีที่นั่งด้านในให้ผู้ชมมากถึงแปดหมื่นที่นั่ง และจำนวนที่นั่งบริเวณอัฒจันทร์เกือบห้าหมื่นที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีลู่วิ่งที่ได้มาตรฐาน ลานการแข่งขันกรีฑา และยังมีความน่าทึ่งอีกประการนั่นก็คือ เป็นสนามกีฬาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 17 สำหรับทวีปเอเชียอีกด้วย

ประเทศไทยกับการสร้างสนามฟุตบอลใหญ่เพิ่มเติม

สำหรับหลาย ๆ คนเมื่ออ่านมาจนถึงจุดนี้แล้ว คงสงสัยใช่หรือไม่ว่าเหตุใดสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกลับจุคนได้ราว ๆ เกือบห้าหมื่นคนเท่านั้น ในขณะที่สนามฟุตบอลระดับชาติที่อื่น ๆ สามารถจุคนได้มากถึงเจ็ดหมื่นคน ซึ่งด้วยความจุที่นั่งซึ่งน้อยนี่เองที่ทำให้คนไทยหลาย ๆ คนเรียกร้องให้มีการสร้างสนามฟุตบอลที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อเติมเต็มการชมฟุตบอลให้มีสีสัน แต่อย่างไรก็ดี หากว่าประเทศไทยไม่มีโครงการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาคหรือโลกด้วยแล้ว ยากที่จะลงทุนกับสนามฟุตบอล ส่วนหนึ่งก็มาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงนี้ด้วยที่ทำให้การสร้างสนามกีฬาเป็นไปได้ยากขึ้น

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการไปชมการแข่งขันฟุตบอลในสนามราชมังคลากีฬาสถาน แนะนำว่าให้มองหาเส้นทางการเดินทางอันสะดวกที่สุด พร้อมกันนั้นก็เตรียมความพร้อมให้ดี เพื่อให้การไปชมกีฬาที่โปรดปรานของตัวเองเป็นครั้งแรก ได้รับความประทับใจกลับมา และอย่าลืมส่งเสียงเชียร์นักกีฬาทีมที่คุณชอบให้ดัง ๆ เพื่อให้พวกเขามีกำลังใจในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับเอแดน มีกาแอล อาซาร์ นักเตะทีมเรอัล มาดริด

เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับเอแดน มีกาแอล อาซาร์ นักเตะทีมเรอัล มาดริด

หากเอ่ยถึงนักเตะที่มีฝีมือในโลกนี้ เราคงจะนับนิ้วกันไม่ถ้วน เพราะในแต่ละยุคแต่ละสมัยเองก็มีนักเตะที่เก่งกาจแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าเอ่ยถึงยุคนี้แล้วล่ะก็ เอ่ยชื่อ เอแดน อาซาร์ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะหนุ่มนักเตะคนนี้เป็นนักเตะที่เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจชาวโลกเลยก็ว่าได้ อ่านมาจนถึงตอนนี้คงอยากรู้จักนักเตะคนนี้แล้วใช่หรือไม่ วันนี้เราจะพามาดูเรื่องราวของเอแดน อาซาร์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

อาซาร์ หนุ่มนักเตะจากแดนเบลเยี่ยม

คงมีหลายคนไม่รู้มาก่อนว่าหนุ่มอาซาร์นั้นมาจากประเทศเบลเยี่ยม เมืองลาลูเวียร์ โดยเขาเกิดในวันที่ 7 มกราคม 1991 หากจะบอกว่าเขาคือลูกไม้หล่นใต้ต้นก็คงไม่ผิดนัก เพราะหนุ่มนักเตะคนนี้เป็นลูกชายของนักฟุตบอลชาวเบลเยียม ชีวิตของอาซาร์เริ่มต้นจากการเล่นเป็นนักเตะมืออาชีพให้กับสโมสรรัวยาลสตาดแบรนัว อันเป็นสโมสรท้องถิ่นในประเทศเบลเยี่ยม หลังจากนั้นเขาได้ก้าวเข้ามาเล่นในลีกเอิง กับสโมสรลีล ซึ่งที่สโมสรลีล เขาได้เล่นอยู่ราว 2 ปี แล้วได้รับคัดเลือกมาเล่นกับสโมสรชุดใหญ่ และได้เป็นนักเตะหลักในการคุมทีมของรูดี การ์ซีอา นั่นเอง

นักเตะชาวต่างชาติคนแรกที่ได้สหภาพนักฟุตบอลอาชีพนานาชาติ

ด้วยความเก่งกาจของอาซาร์ ทำให้เขาได้รับรางวัลที่ชื่อว่าสหภาพนักฟุตบอลอาชีพนานาชาติและรางวัลนักฟุตบอลเยาวชนยอดเยี่ยม ความน่าทึ่งของเขาอีกประการหนึ่งก็คือเขาเป็นนักเตะชาวต่างชาติคนแรกที่ได้รางวัลนี้ และยังได้รางวัลถึงสองครั้งติดต่อกัน นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของรางวัลนี้เลยก็ว่าได้

นักเตะแถวหน้าของเรอัล มาดริด

ในปัจจุบัน เขาเล่นตำแหน่งปีก อันเป็นกองกลางตัวรุก โดยจุดเด่นที่ทำให้หลาย ๆ คนหลงรักและเอาใจช่วยนักเตะคนนี้ก็คือ ทักษะการเล่นอันแสนจะสร้างสรรค์ มีความเร็วเป็นพิเศษหาตัวจับยาก อีกทั้งยังได้ฉายาด้วยว่า “นักเตะที่เป็นฝันร้ายของกองหลัง” จากทักษะการเล่นอันแสนเยี่ยมยอดนี้ ทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับเมสซี่ รวมไปถึงโรนัลโดเลยทีเดียว

อาซาร์กับบทบาททีมชาติ

สำหรับใครที่สงสัยว่าอาซาร์มีผลงานทีมชาติเป็นอย่างไรบ้าง ก็ขอตอบว่าอาซาร์ได้มีการลงทีมชาติเบลเยี่ยมตั้งแต่เขาอายุ 17 ปีเลยทีเดียว เกมแรกที่เขาลงเตะเป็นเกมที่แข่งขันกับลักเซมเบิร์ก โดยหน้าที่ของอาซาร์ในเกมนั้นคือการมาเป็นตัวสำรองในช่วงหลังของการแข่งขันแล้ว แต่ทว่าเขาก็ทำผลงานได้เป็นที่น่าประทับใจ และทำให้หลังจากนั้นเขาก็ติดทีมชาติเบลเยี่ยมอีก 28 นัดเลยทีเดียว

จะเห็นว่าหนุ่มนักเตะคนนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมีความเพียรพยายามที่จะเดินไปในเส้นทางสายนักฟุตบอล นับเป็นสิ่งที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง